สุนทรียภาพแห่งดนตรี เพื่อชีวีเป็นสุข      ดนตรีไทยคือมรดกทางวัฒนธรรมที่สะท้อนความงดงามและเอกลักษณ์ของชาติไทยผ่านเสียงเพลงและเครื่องดนตรีประจำถิ่น.

เครื่องสาย( String Instruments)

 

MusicInstrument00 clip image001

 

          เครื่องดนตรีประเภทเครื่องสาย สายของเครื่องดนตรีประเภทนี้มีทั้งสายที่ทำมาจากเส้นลวด เส้นเอ็น เส้นไหม ไนล่อน หรือโลหะอย่างใดอย่างหนึ่ง นำมาขึงให้ตึง ความดังของเสียงขึ้นอยู่กับรูปร่าง และวัสดุที่นำมาใช้ทำกะโหลกเครื่องดนตรี กะโหลกเครื่องดนตรีทำหน้าที่เป็นตัวขยายเสียงที่เกิดจากการสั่นสะเทือนของ สาย เครื่องดนตรีประเภทเครื่องสายที่นำมาใช้ในการประสมวงดนตรีมีดังนี้

 

ประเภทเครื่องสี

ไวโอลิน (Violin)

StringInstruments clip image002

          ไวโอลินเป็นเครื่องดนตรีประเภทเครื่องสายที่เก่าแก่ที่สุดชิ้นหนึ่งของโลก มีต้นกำเนิดมาตั้งแต่ปี 1600 โดยถูกประดิษฐ์ขึ้นในประเทศอิตาลี ไวโอลินมีบทบาทสำคัญในดนตรีคลาสสิกและยังคงได้รับความนิยมในปัจจุบัน

 

วิโอล่า (Viola)

Viola

         วิโอล่า (Viola) เป็นเครื่องดนตรีประเภทเครื่องสายในตระกูลไวโอลิน มีลักษณะคล้ายกับไวโอลิน แต่มีขนาดที่ใหญ่กว่า และให้เสียงที่ต่ำและทุ้มกว่า โดยทำหน้าที่เป็นเสียงกลางหรือเสียงอัลโต้ในวงออร์เคสตรา

ความแตกต่างจากไวโอลิน
     ขนาด : วิโอล่ามีขนาดใหญ่กว่าไวโอลิน ทำให้เสียงที่ออกมามีความทุ้มกว่าและมีเนื้อเสียงที่อิ่มกว่า
     ช่วงเสียง : วิโอล่าจะให้เสียงที่ต่ำกว่าไวโอลิน โดยปกติแล้วจะตั้งสายเป็น C-G-D-A ซึ่งต่ำกว่าไวโอลินที่ตั้งสายเป็น G-D-A-E
     บทบาทในดนตรี : วิโอล่ามักจะใช้เล่นในส่วนของไลน์ประสาน หรือเสียงกลางของบทเพลงมากกว่าที่จะเล่นทำนองหลักเหมือนไวโอลิน เสียงของวิโอล่าจะมีความนุ่มลึกและอบอุ่น

 

 

เชลโล (Cello)

          เชลโล (Cello) หรือชื่อเต็มว่า วิโอลอนเชลโล (Violoncello) เป็นเครื่องดนตรีประเภทเครื่องสายในตระกูลไวโอลิน มีลักษณะคล้ายไวโอลินและวิโอล่า แต่มีขนาดที่ใหญ่กว่ามาก ทำให้ให้เสียงที่ต่ำและทุ้มลึก โดยเฉพาะเสียงของสาย 3 และสาย 4 ที่สามารถบรรเลงเพลงเศร้าได้ดี

ลักษณะและวิธีการเล่น
     ขนาด : เชลโลมีขนาดใหญ่กว่าไวโอลินและวิโอล่าประมาณ 3 เท่า
     การบรรเลง : เวลาเล่น ผู้เล่นจะต้องนั่งเก้าอี้และวางเชลโลไว้ระหว่างขา โดยมีเหล็กแหลมที่เรียกว่า "เอนด์พิน (Endpin)" ค้ำยันตัวเครื่องกับพื้น เพื่อให้เชลโลตั้งตรงมั่นคง
     เสียง : เชลโลให้เสียงที่ก้องกังวานและมีอารมณ์หลากหลาย สามารถใช้บรรเลงได้ทั้งในวงออร์เคสตราและเป็นเครื่องดนตรีเดี่ยว
          เชลโลมีพัฒนาการของรูปทรงมาหลากหลายกว่าจะเป็นดังเช่นที่เห็นในปัจจุบัน และใช้เวลานานกว่าจะเป็นที่ยอมรับในฐานะเครื่องดนตรีสำหรับการแสดงเดี่ยว โดยอันโตนิโอ สตราดิวารี (Antonio Stradivari) ช่างทำไวโอลินชื่อดัง ได้กำหนดขนาดมาตรฐานของเชลโลสมัยใหม่ขึ้นในช่วงต้นศตวรรษที่ 18
          เชลโลเป็นเครื่องดนตรีที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในดนตรีคลาสสิก และยังคงเป็นส่วนสำคัญในการสร้างความสมบูรณ์และมิติให้กับเสียงของวงดนตรี

 

ดับเบิ้ลเบส (Double Bass)
StringInstruments clip image002 0001

          ดับเบิลเบส (Double Bass) หรือชื่อเต็มว่า คอนทราเบส (Contrabass) เป็นเครื่องดนตรีประเภทเครื่องสายที่มีขนาดใหญ่ที่สุดและให้เสียงต่ำที่สุดในตระกูลไวโอลิน

ลักษณะและวิธีการเล่น
     ขนาด : ดับเบิลเบสมีขนาดใหญ่ที่สุดในบรรดาเครื่องสายในวงออร์เคสตรา ทำให้ผู้เล่นต้องยืนเล่น หรือนั่งบนเก้าอี้สูงเป็นพิเศษ
     เสียง : ให้เสียงที่ทุ้มลึกและกังวานมากที่สุดในกลุ่มเครื่องสาย ทำให้เป็นรากฐานของเสียงในวงออร์เคสตราและดนตรีประเภทอื่น ๆ
     การบรรเลง : ผู้เล่นสามารถบรรเลงได้สองวิธีหลัก ๆ คือ:
ใช้คันชัก (Bowing): เหมือนกับไวโอลิน วิโอล่า และเชลโล เพื่อสร้างเสียงที่ยืดและต่อเนื่อง
ดีดสาย (Pizzicato): ใช้นิ้วดีดสายเพื่อให้เกิดเสียงสั้น ๆ กระชับ ซึ่งเป็นที่นิยมมากในดนตรีแจ๊สและบลูส์
บทบาทในดนตรี
          ดับเบิลเบสเป็นเครื่องดนตรีที่มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการสร้างรากฐานทางเสียงและความกลมกลืนในวงดนตรีหลายประเภท:
     วงออร์เคสตรา : ทำหน้าที่เป็นเสียงเบสพื้นฐาน ให้ความรู้สึกมั่นคงและหนักแน่น
     ดนตรีแจ๊ส : เป็นส่วนสำคัญของริธึมเซกชัน มักใช้เทคนิคการดีดสายเป็นหลัก
     วงดนตรีประเภทอื่น ๆ : รวมถึงบลูส์, ร็อกอะบิลลี, โฟล์ก และดนตรีแนวอื่น ๆ ที่ต้องการเสียงเบสธรรมชาติและมีพลัง
การพัฒนา
          ดับเบิลเบสมีวิวัฒนาการมาจากเครื่องดนตรีตระกูล Viola da Gamba ซึ่งเป็นเครื่องสายในยุคก่อนหน้า และได้ถูกปรับปรุงพัฒนาให้มีขนาดและเสียงที่เหมาะสมกับการใช้งานในปัจจุบัน

          สรุปแล้ว ดับเบิลเบสเป็นหัวใจสำคัญของเสียงต่ำในวงดนตรีหลายประเภท ด้วยขนาดที่ใหญ่และเสียงที่ทุ้มลึกอันเป็นเอกลักษณ์

 

ประเภทเครื่องดีด

ฮาร์ป (Harp)


          ฮาร์ป (Harp) เป็นเครื่องดนตรีประเภทเครื่องสายที่โดดเด่นด้วยรูปลักษณ์อันสง่างามและเสียงที่ไพเราะ มีสายจำนวนมากขึงอยู่บนโครงสามเหลี่ยมหรือโครงโค้งขนาดใหญ่ และมีกลไกพิเศษที่ช่วยให้สามารถเปลี่ยนระดับเสียงของสายได้

ลักษณะเด่นของฮาร์ป
    โครงสร้าง : โดยทั่วไปมีลักษณะเป็นโครงสามเหลี่ยมขนาดใหญ่ หรือเป็นโครงโค้ง มีสายจำนวนมากขึงจากคอ (Neck) ลงมายังกล่องเสียง (Soundboard)
     จำนวนสาย : ฮาร์ปมีจำนวนสายแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับชนิดและขนาด แต่โดยทั่วไปมีประมาณ 40-47 สาย
     การกำเนิดเสียง : ผู้เล่นใช้นิ้วมือดีดสายให้สั่นสะเทือนเพื่อสร้างเสียง
กลไกการเปลี่ยนเสียง: ฮาร์ปคอนเสิร์ต (Pedal Harp) มีกลไกคันเหยียบ (Pedals) ที่เท้า ซึ่งเชื่อมต่อกับก้านเล็กๆ ภายในคอฮาร์ป คันเหยียบแต่ละอันจะควบคุมสายกลุ่มหนึ่ง และสามารถปรับระดับเสียงของสายนั้นๆ ได้ 3 ระดับ (แฟลต, เนเชอรัล, ชาร์ป) ทำให้สามารถเล่นได้ในทุกคีย์

ประเภทของฮาร์ป
          ฮาร์ปคอนเสิร์ต (Concert Harp หรือ Pedal Harp): เป็นฮาร์ปขนาดใหญ่ที่สุด มีคันเหยียบที่เท้าเพื่อเปลี่ยนระดับเสียงของสาย เป็นฮาร์ปที่ใช้ในวงออร์เคสตราและในการแสดงเดี่ยว
ฮาร์ปแบบคันโยก (Lever Harp หรือ Folk Harp): เป็นฮาร์ปขนาดเล็กกว่า ไม่มีคันเหยียบ แต่มีคันโยกเล็กๆ อยู่ที่คอฮาร์ปใกล้กับสายแต่ละเส้น ผู้เล่นต้องใช้มือในการปรับคันโยกเพื่อเปลี่ยนระดับเสียงของสายนั้นๆ มักใช้ในดนตรีโฟล์กหรือการแสดงที่ไม่ต้องการการเปลี่ยนคีย์บ่อยนัก
ฮาร์ปแบบไลร์ (Lyre Harp): เป็นฮาร์ปที่มีขนาดเล็กที่สุดและมีรูปแบบโบราณ มีโครงสร้างเรียบง่าย มักใช้เป็นเครื่องดนตรีประกอบการขับร้องในอดีต

บทบาทในดนตรี
           ฮาร์ปเป็นเครื่องดนตรีที่ให้เสียงที่นุ่มนวล ชวนฝัน และมีมิติ สามารถสร้างบรรยากาศที่หลากหลายในบทเพลง ตั้งแต่ความสง่างาม ความลึกลับ ไปจนถึงความสดใส มักถูกใช้ในวงออร์เคสตรา เพื่อเพิ่มสีสันและเสียงประสานที่งดงาม และยังเป็นที่นิยมในการบรรเลงเดี่ยวอีกด้วย

          ฮาร์ปเป็นเครื่องดนตรีที่ต้องใช้ทักษะและความประณีตในการเล่นสูง เนื่องจากมีจำนวนสายมากและต้องใช้การประสานงานระหว่างมือและเท้า (สำหรับฮาร์ปคอนเสิร์ต) เพื่อสร้างสรรค์บทเพลงออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบ

 

ไลร์ (Lyre)
StringInstruments clip image002 0003

          ไลร์ (Lyre) เป็นเครื่องดนตรีประเภทเครื่องสายโบราณ จัดอยู่ในกลุ่มเครื่องดนตรีประเภทพิณ (Harp) ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน และมีความสำคัญอย่างยิ่งในอารยธรรมกรีกโบราณ รวมถึงอารยธรรมอียิปต์โบราณ

ลักษณะของไลร์:
     โครงสร้าง : โดยทั่วไป ไลร์จะมีโครงสร้างที่ประกอบด้วยแขนสองข้างที่ยื่นขึ้นไปจากกล่องเสียง และมีคาน (yoke หรือ crossbar) พาดเชื่อมแขนทั้งสองไว้ด้านบน สายของไลร์จะถูกขึงจากคานลงมายังกล่องเสียง
     การกำเนิดเสียง : ผู้เล่นจะใช้นิ้วดีดสายเพื่อให้เกิดเสียง คล้ายกับการเล่นฮาร์ปหรือกีตาร์
จำนวนสาย: จำนวนสายของไลร์มีความหลากหลายขึ้นอยู่กับยุคสมัยและวัฒนธรรม ตั้งแต่ไม่กี่สายไปจนถึงหลายสิบสาย
     วัสดุ : ไลร์ในยุคโบราณมักทำจากไม้ โดยมีกล่องเสียงที่อาจทำจากกระดองเต่าหรือวัสดุธรรมชาติอื่นๆ

ประวัติและบทบาท:
          ไลร์มีความเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับเทพปกรณัมกรีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเทพอะพอลโล (Apollo) ซึ่งเป็นเทพแห่งดนตรีและบทกวี และยังเป็นสัญลักษณ์ของดนตรีตะวันตกมาตั้งแต่ยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา
          ในกรีกโบราณ ไลร์เป็นเครื่องดนตรีที่สำคัญในการประกอบการขับร้องบทกวี การเล่านิทาน และการแสดงละคร มักใช้ในการบรรเลงเดี่ยวหรือคลอไปกับการขับร้องเพลง (ซึ่งเป็นที่มาของคำว่า "lyric" หรือ "บทกวี" ในภาษาอังกฤษ)
          ในอียิปต์โบราณ มีหลักฐานภาพวาดและโบราณวัตถุที่แสดงให้เห็นถึงการใช้ไลร์ในพิธีกรรมทางศาสนาและงานเฉลิมฉลอง
          ไลร์ในปัจจุบัน แม้ว่าไลร์โบราณจะไม่ได้ถูกใช้อย่างแพร่หลายในดนตรีคลาสสิกสมัยใหม่เหมือนฮาร์ป แต่ก็ยังคงมีการผลิตไลร์ขึ้นมาใหม่ในรูปแบบต่างๆ รวมถึง Lyre Harp ซึ่งเป็นไลร์ที่ได้รับการออกแบบให้เล่นง่ายขึ้น และได้รับความนิยมในกลุ่มผู้ที่สนใจเครื่องดนตรีโบราณหรือดนตรีบำบัด
          ไลร์จึงเป็นเครื่องดนตรีที่สะท้อนถึงรากเหง้าของดนตรีและศิลปะในอารยธรรมโบราณ และยังคงเป็นสัญลักษณ์ของความไพเราะและบทกวีมาจนถึงปัจจุบัน

 

กีตาร์
StringInstruments clip image002 0006

          กีตาร์ (Guitar) เป็นเครื่องดนตรีประเภทเครื่องสายที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายทั่วโลก สามารถเล่นได้หลากหลายแนวเพลง และมีบทบาทสำคัญในดนตรีแทบทุกแขนง
 
ลักษณะทั่วไปของกีตาร์ประกอบด้วยส่วนประกอบหลักๆ ดังนี้:
     หัว (Headstock): ส่วนบนสุดของกีตาร์ มีลูกบิดสำหรับปรับความตึงของสาย
     คอ (Neck): ส่วนยาวที่ต่อจากหัวลงมาถึงลำตัว มีฟิงเกอร์บอร์ด (Fingerboard) หรือ เฟรตบอร์ด (Fretboard) ซึ่งเป็นแผ่นไม้ที่มีเฟรต (Fret) หรือโลหะกั้นช่อง เพื่อกำหนดตำแหน่งของโน้ต
     ลำตัว (Body): ส่วนหลักของกีตาร์ มักมีโพรงเสียง (Soundhole) สำหรับกีตาร์อะคูสติก หรือเป็นไม้ตันสำหรับกีตาร์ไฟฟ้า ภายในหรือบนลำตัวจะมีอุปกรณ์กำเนิดเสียง เช่น บริดจ์ (Bridge), แซดเดิล (Saddle) และปิ๊กอัพ (Pickup) สำหรับกีตาร์ไฟฟ้า
     สาย (Strings): โดยทั่วไปกีตาร์จะมี 6 สาย ทำจากวัสดุที่แตกต่างกัน เช่น ไนลอนสำหรับกีตาร์คลาสสิก หรือเหล็กสำหรับกีตาร์โปร่งและกีตาร์ไฟฟ้า
 
ประเภทของกีตาร์ แบ่งออกได้เป็นหลายประเภทหลักๆ ดังนี้:
 
         กีตาร์อะคูสติก (Acoustic Guitar):
         กีตาร์คลาสสิก (Classical Guitar): ใช้สายไนลอน ให้เสียงนุ่มนวล มักใช้เล่นดนตรีคลาสสิก, ฟลาเมงโก หรือเพลงที่ต้องการ ความละเอียดอ่อน
         กีตาร์โปร่ง (Steel-string Acoustic Guitar): ใช้สายเหล็ก ให้เสียงที่ดังและกังวานกว่า มักใช้ในดนตรีโฟล์ก, ป๊อป, ร็อก และบลูส์
        กีตาร์ไฟฟ้า (Electric Guitar): 
           - Solid-body Electric Guitar: ลำตัวเป็นไม้ตัน ไม่มีโพรงเสียง เสียงจะถูกสร้างและขยายผ่านปิ๊กอัพและแอมป์ มีความหลากหลายในรูปลักษณ์และเสียง
           - Hollow-body/Semi-hollow Electric Guitar: มีโพรงเสียงในลำตัวคล้ายกีตาร์อะคูสติกแต่บางกว่า ให้เสียงที่มีความเป็นอะคูสติกผสมผสาน มักใช้ในดนตรีแจ๊สหรือบลูส์
 
วิธีการเล่น
          ผู้เล่นกีตาร์จะใช้มือข้างหนึ่งกดสายลงบนเฟรตเพื่อกำหนดโน้ต และใช้อีกมือหนึ่งดีดหรือเกาสายด้วยนิ้วหรือปิ๊ก (Pick) เพื่อสร้างเสียง
 
          กีตาร์เป็นเครื่องดนตรีที่มีความยืดหยุ่นสูง สามารถเล่นได้ทั้งในฐานะเครื่องดนตรีเดี่ยว หรือเป็นส่วนหนึ่งของวงดนตรี ไม่ว่าจะเป็นวงป๊อป, ร็อก, แจ๊ส, บลูส์, โฟล์ก หรือแม้แต่คลาสสิก

 

แมนโดลิน (Mandolin)
StringInstruments clip image002 0007

          แมนโดลิน (Mandolin) เป็นเครื่องดนตรีประเภทเครื่องสายที่อยู่ในตระกูลลูท (Lute) มีลักษณะเด่นคือลำตัวส่วนหลังจะป่องโค้งคล้ายลูกแพร์ และมีสายคู่ (Double courses) ซึ่งหมายความว่ามีสายสองเส้นที่ตั้งเสียงเดียวกันเรียงกันไป โดยทั่วไปแล้วจะมี 4 คู่สาย (รวมเป็น 8 สาย) หรือบางครั้งก็มี 5 คู่สาย (10 สาย) หรือ 6 คู่สาย (12 สาย)

ลักษณะและเสียง:
     ลำตัว: ส่วนหลังของลำตัวแมนโดลินจะโค้งกลมและป่องออกมา คล้ายกับเปลือกหอย หรือลูกแพร์ ทำให้เกิดเสียงสะท้อนที่เป็นเอกลักษณ์
     สาย: โดยทั่วไปมี 4 คู่สาย (8 สาย) โดยแต่ละคู่จะตั้งเสียงเดียวกัน (เช่น G-G, D-D, A-A, E-E) การมีสายคู่ทำให้ได้เสียงที่กังวานและมีมิติมากขึ้นเมื่อดีด
     การเล่น: ผู้เล่นจะใช้ปิ๊ก (pick) หรือเพล็กทรัม (plectrum) ในการดีดสาย การเล่นแมนโดลินมักใช้เทคนิคที่เรียกว่า "เทรโมโล" (tremolo) คือการดีดสายขึ้นลงอย่างรวดเร็วต่อเนื่อง เพื่อสร้างเสียงที่ยืดและกังวานเนื่องจากเสียงของแมนโดลินจะสั้น
     เสียง: ให้เสียงที่ใส สว่าง และกังวาน คล้ายคลึงกับเสียงของไวโอลินแต่มีลักษณะเฉพาะตัว

ประวัติ:
          แมนโดลินมีต้นกำเนิดจากเครื่องดนตรีตระกูลลูทในยุคกลางและยุคเรอเนซองส์ในอิตาลี มีการพัฒนาและเปลี่ยนแปลงรูปทรงมาหลายศตวรรษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเมืองเนเปิลส์ (Naples) ซึ่งเป็นแหล่งผลิตแมนโดลินที่มีชื่อเสียงที่สุด

การใช้งานในดนตรี:
          แมนโดลินถูกนำไปใช้ในดนตรีหลากหลายแนว:
     ดนตรีคลาสสิก: มีบทบาทในวงออร์เคสตราและดนตรีเชมเบอร์บางชิ้น
     ดนตรีโฟล์ก: เป็นเครื่องดนตรีหลักในดนตรีโฟล์กของอิตาลี (เช่น Tarantella) และดนตรีพื้นบ้านของยุโรปหลายประเทศ
     บลูแกรส (Bluegrass): เป็นเครื่องดนตรีสำคัญในดนตรีบลูแกรสของอเมริกา โดยมีเทคนิคการเล่นที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว
     ดนตรีป๊อปและร็อก: บางครั้งก็ถูกนำมาใช้เพื่อเพิ่มสีสันให้กับบทเพลง

          แมนโดลินเป็นเครื่องดนตรีที่มีเสน่ห์เฉพาะตัว ทั้งรูปลักษณ์ เสียง และวิธีการเล่นที่หลากหลาย ทำให้เป็นที่ชื่นชอบของนักดนตรีและผู้ฟังทั่วโลก

 

แบนโจ (Banjo)
StringInstruments clip image002 0005

          แบนโจ (Banjo) เป็นเครื่องดนตรีประเภทเครื่องสายที่มีเอกลักษณ์โดดเด่น ด้วยเสียงที่กังวาน ใส และมีจังหวะที่ชัดเจน มักเกี่ยวข้องกับดนตรีพื้นบ้านอเมริกัน เช่น บลูแกรส (Bluegrass), โฟล์ก (Folk), และคันทรี (Country)

ลักษณะเฉพาะของแบนโจ
     โครงสร้าง: แบนโจมีลักษณะคล้ายกลองที่ติดคอยื่นออกมา ลำตัวกลมและแบนคล้ายกลอง โดยมีหนังหรือวัสดุสังเคราะห์ขึงอยู่ด้านหน้า ทำหน้าที่เป็นเรโซเนเตอร์ (resonator) ที่ช่วยขยายเสียงให้ดังและกังวาน
     สาย: แบนโจส่วนใหญ่มี 4, 5 หรือ 6 สาย แต่ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือ แบนโจ 5 สาย โดยมีสายที่สั้นกว่าปกติหนึ่งเส้น (เรียกว่า Drone string) ที่มักจะตั้งเสียงค้างไว้ ซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของแบนโจ 5 สาย
     การเล่น: ผู้เล่นจะใช้นิ้วหรือปิ๊กในการดีดหรือเกาสาย เทคนิคการเล่นแบนโจมีหลากหลาย เช่น "Scruggs style" ที่เป็นการเล่นฟิงเกอร์พิกกิ้ง (fingerpicking) แบบเร็วและซับซ้อน หรือ "Clawhammer style" ที่เป็นการตีสายลงด้วยหลังเล็บ

ประวัติของแบนโจ
          แบนโจมีต้นกำเนิดมาจากเครื่องดนตรีของชาวแอฟริกันที่ถูกนำเข้ามาในอเมริกาโดยทาสในศตวรรษที่ 17 ต่อมาได้พัฒนาและเป็นที่นิยมในหมู่นักดนตรีมินสเตรล (Minstrel) ในช่วงศตวรรษที่ 19 และกลายเป็นส่วนสำคัญของดนตรีพื้นบ้านอเมริกัน

ประเภทของแบนโจ
     แบนโจ 5 สาย (5-string Banjo): เป็นที่นิยมมากที่สุด มักใช้ในดนตรีบลูแกรสและโฟล์ก
     แบนโจ 4 สาย (4-string Banjo): มีสองประเภทหลักคือ:
     เทเนอร์แบนโจ (Tenor Banjo): มักใช้ในดนตรีแจ๊สแบบดั้งเดิม (Dixieland Jazz) และดนตรีไอริช
     เพล็กทรัมแบนโจ (Plectrum Banjo): คล้ายกับเทเนอร์แบนโจแต่มีคอที่ยาวกว่าเล็กน้อย
     แบนโจ 6 สาย (6-string Banjo หรือ Guitar Banjo): มีการตั้งสายแบบเดียวกับกีตาร์ ทำให้กีตาร์ริสต์สามารถเล่นแบนโจได้ง่ายขึ้น

          แบนโจเป็นเครื่องดนตรีที่ให้ความรู้สึกสนุกสนาน มีชีวิตชีวา และมีความเป็นอเมริกันชนอย่างลึกซึ้งในเสียงและบทบาทของมัน

 

แแหล่งอ้างอิง
          https://th.wikipedia.org/
          walshimprov.ogg
          https://pixabay.com/
          https://www.youtube.com/@amyturkharp
          https://www.youtube.com/@rittajp
          https://musicentrance.com/
          https://www.youtube.com/@OrchestraIndiana
          https://www.youtube.com/@panappu8233
          https://www.musicarms.net/
          https://www.youtube.com/@OrchestraIndiana