สุนทรียภาพแห่งดนตรี เพื่อชีวีเป็นสุข      ดนตรีไทยคือมรดกทางวัฒนธรรมที่สะท้อนความงดงามและเอกลักษณ์ของชาติไทยผ่านเสียงเพลงและเครื่องดนตรีประจำถิ่น.

วงดนตรีไทย

ดนตรีไทยมักเล่นเป็นวงดนตรี มีการแบ่งตามประเภทของการบรรเลงที่เป็นระเบียบมาแต่โบราณกาลจนถึงปัจจุบันเป็น 3 ประเภท คือ

  • วงปี่พาทย์

20220624064420 53 piiphaathy

          วงปี่พาทย์ คือ วงดนตรีไทยประเภทหนึ่ง ที่มีเครื่องดนตรีประเภทเครื่องตีเป็นหลัก ได้แก่ ระนาดเอก ระนาดทุ้ม ระนาดเอกเหล็ก ระนาดทุ้มเหล็ก ฆ้องวงใหญ่ ฆ้องวงเล็ก มีเครื่องดนตรีประเภทเครื่องเป่า เช่น ปี่ ขลุ่ย และเครื่องกำกับจังหวะ เช่น ตะโพน กลองทัด ใช้บรรเลงในงานพระราชพิธีและพิธีต่าง ๆ วงปี่พาทย์ แบ่งได้ 4 ขนาด คือ

          1.  วงปี่พาทย์เครื่องสิบ ระนาดเอก ฆ้องวงใหญ่ ปี่ใน ฉิ่ง ตะโพน กลองทัด
          2.  วงปี่พาทย์เครื่องห้า แบ่งออกเป็น 2 ชนิดได้แก่
               -  ปีพาทย์เครื่องห้าอย่างหนัก จะใช้สำหรับการบรรเลงใน การแสดงมหรสพ หรืองานในพิธีต่างๆ ซึ่งจะประกอบไปด้วยเครื่องดนตรีต่างๆ ดังนี้คือ ฆ้องวงใหญ่ ปี่ใน กลองทัด ตะโพน และ ฉิ่ง
               -  ปีพาทย์เครื่องห้าอย่างเบา ประกอบไปด้วยเครื่องดนตรีต่างๆ ดังนี้คือ กลองชาตรี ฆ้องคู่ ฉิ่ง ปี่ และ ทับ หรือ โทน
          3.  วงปี่พาทย์เครื่องคู่ เหมือนวงปี่พาทย์เครื่องห้า เพียงแต่เพิ่ม ระนาดทุ้ม และ ฆ้องวงเล็ก เข้าไป
          4. วงปี่พาทย์เครื่องใหญ่ เหมือนวงปี่พาทย์เครื่องคู่ เพียงแต่เพิ่ม ระนาดเอกเหล็ก และ ระนาดทุ้มเหล็ก เข้าไป

 

วงปี่พาทย์ยังมีอีก 3 ประเภทใหญ่ ๆ คือ

1. วงปี่พาทย์นางหงส์ คือวงปี่พาทย์ชนิดหนึ่งที่นำเอาวงปี่พาทย์ไม้แข็งมาประสมกับ วงบัวลอย โดยเปลี่ยนแปลงรูปแบบดังนี้

               - ใช้ กลองมลายู มาตีแทน ตะโพน และ กลองทัด (บางที่ก็ใช้กลองทัดแทนกลองมลายู)
               - ใช้ ปี่ชวา มาเป่าแทน ปี่ใน
               - เอาฆ้องเหม่งออก เพราะมี ฉิ่ง เป็นตัวควบคุมจังหวะแล้ว
          เหตุที่ใช้ชื่อวงปี่พาทย์นี้ว่าวงปี่พาทย์นางหงส์ก็เนื่องจากเรียกตามชื่อเพลงที่เล่นคือเพลงเรื่องนางหงส์ โดยจะใช้เล่นเฉพาะงานอวมงคลเท่านั้น ปัจจุบันไม่ค่อยเป็นที่นิยม เพราะได้หันมานิยม วงปี่พาทย์มอญ แทน วงปี่พาทย์นางหงส์ เดิมเป็นวงที่ใช้บรรเลงในงานศพของสามัญชน ต่อมาได้นำมาบรรเลงในงานสวดพระอภิธรรมศพเจ้านาย และใช้ในตอนถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระศพ เมื่อครั้งงานพระบรมศพของสมเด็จพระศรีนครินทรา บรมราชชนนี สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี มีพระประสงค์ให้นำวงปี่พาทย์นางหงส์ ของกรมศิลปากรมาประโคมย่ำยาม ต่อจากวงประโคมของงานเครื่องสูง สำนักพระราชวัง จึงนับเป็นครั้งแรกที่ได้นำวงปี่พาทย์นางหงส์มาใช้ในงานพระบรมศพด้วย

 

เพลงที่บรรเลง เรียกว่า “ เพลงชุดนางหงส์” ประกอบด้วยเพลง

           -  เพลงนางหงส์ (หรือเพลงพราหมณ์เก็บหัวแหวน)
           -  เพลงสาวสอดแหวน
           -  เพลงแสนสุดสวาท
           -  เพลงแมลงปอ
           -  เพลงแมลงวันทอง

 

2. วงปี่พาทย์มอญ เป็นวงดนตรีที่มาพร้องกับชาวมอญที่อพยพเข้ามาในประเทศไทย ประกอบด้วยเครื่องดนตรีที่ได้รับอิทธิพลมาจากมอญได้แก่ ปี่มอญ ฆ้องมอญ ตะโพนมอญ เปิงมางคอก และ ฆ้องราว

วงปี่พาทย์มอญมี 3 ขนาดเช่นเดียวกับ วงปี่พาทย์ไม้แข็ง ของไทย ดังนี้

          1.  วงปี่พาทย์มอญเครื่องห้า ประกอบด้วย ระนาดเอก ปี่มอญ ฆ้องมอญวงใหญ่ ตะโพนมอญ เปิงมางคอก และเครื่องกำกับจังหวะคือ ฉิ่ง และฉาบ โหม่ง
          2.  วงปี่พาทย์มอญเครื่องคู่ มีลักษณะเดียวกันกับวงปี่พาทย์มอญเครื่องห้า เพียงแต่วงนี้ได้เพิ่ม ระนาดทุ้ม และฆ้องมอญวงเล็กเข้ามา
          3.  วงปี่พาทย์มอญเครื่องใหญ่ มีลักษณะเดียวกันกับวงปี่พาทย์มอญเครื่องคู่ แต่ได้เพิ่ม ระนาดเอกเหล็ก และ ระนาดทุ้มเหล็ก เข้ามา
               วงปี่พาทย์มอญมีการจัดรูปแบบวงที่แตกต่างจากวงปีพาทย์ของไทยตรงที่ตั้ง ฆ้องมอญ ไว้ด้านหน้าสุด ซึ่งการจัดรูปแบบวงนั้นไม่ทราบแน่ชัดว่าใครกำหนดและทำเพื่ออะไร บ้างก็ว่าเพื่อความสวยงามเมื่อมองจากด้านหน้า บ้างก็ว่าเป็นการให้เกียรตวัฒนธรรมมอญ บ้างก็ว่าเป็นเพราะฆ้องมอญทำหน้าขึ้นวรรคเพลงเช่นเดียวกับ ระนาดเอก

วิวัฒนาการในปัจจุบัน
          ในปัจจุบันวงปี่พาทย์มอญเจริญเติบโตอย่างมาก โดยการขยายวงให้ใหญ่ขึ้นเป็นวงปี่พาทย์มอญวงพิเศษ บางอาจจะมีฆ้องมอญถึง 10 โค้งหรือมากกว่านั้น ทำให้วงปี่พาทย์มอญนอกจากจะใช้เป็นเครื่องประโคมศพแล้ว ยังแสดงถึงเกียรติยศของผู้ตายอีกด้วย
นอกจากจะมีการเปลี่ยนแปลงโดยการเพิ่มฆ้องมอญให้มากขึ้นแล้ว ยังได้มีการเปลี่ยนแปลงลักษณะของเครื่องดนตรีเพื่อให้เหมาะสมกับวง คือเปลี่ยนลักษณะของรางระนาดเอกและ ระนาดทุ้ม ให้เหมือนกับฆ้องมอญ เพียงแต่ย่อสัดส่วนให้ต่ำลง

โอกาสที่ใช้บรรเลง
           วงปี่พาทย์มอญแท้จริงแล้วใช้บรรเลงได้ในงานมงคล แต่คนไทยส่วนใหญ่นิยมใช้บรรเลงในงานศพ สืบเนื่องมาจากมีการนำวงปี่พาทย์มอญไปบรรเลงในงานพระบรมศพ สมเด็จพระเทพศิรินทรามาตย์ พระราชินีใน พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าจ้าอยู่หัว ซึ่ง พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระดำริว่า พระราชมารดาของพระองค์นั้นทรงมีเชื้อสายมอญโดยตรง จึงโปรดให้นำวงปี่พาทย์มอญมาบรรเลง ด้วยเหตุนี้เองจึงได้เป็นความเชื่อและยึดถือมาโดยตลอดว่า วงปี่พาทย์มอญเล่นเฉพาะงานศพเท่านั้น
งานศพสมัยก่อนนั้นจะใช้เพลงประโคมที่เรียกว่า"ประจำวัด"โดยจะประโคมหลังการสวดพระอภิธรรมเสร็จสิ้น เช่นเดียวกับ วงปี่พาทย์นางหงส์ นอกจากนี้ก็ยังมีเพลงเวียนเมรุ หาบกล้วย จุดเทียน ในยุคหลังๆได้มีครูดนตรีไทยที่มีเชื้อสายมอญแต่งเพลงมอญให้วงปี่พาทย์มอญเช่นประจำบ้าน ย่ำเที่ยง ย่ำค่ำ ฯลฯ

ในยุคปัจจุบันก็มีเพลงมอญเกิดขึ้นอย่างมากมาย ส่วนใหญ่ก็จะนำเพลงที่คนส่วนใหญ่รู้จักนำมาแต่งเป็นสำเนียงมอญ ทำให้เพลงมอญในปัจจุบันมีความแตกต่างจากเพลงมอญโบราณเป็นอย่างมาก

 

3. วงปี่พาทย์ดึกดำบรรพ์ วงปี่พาทย์ดึกดำบรรพ์ เกิดขึ้นในรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยได้รับอิทธิพลจากละคร โอเปร่า ของ ยุโรป ซึ่ง เจ้าพระยาเทเวศร์วงวิวัฒน์ (ม.ร.ว.หลาน กุญชร) และ สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ร่วมกันปรับปรุงขึ้น เหตุที่มีชื่อว่าดึกดำบรรพ์นั้นมาจากชื่อโรงละครของเจ้าพระยาเทเวศร์ฯ ก็เลยเรียกเรียกวงดนตรีนี้ตามชื่อของโรงละคร

เครื่องดนตรีในวง
          สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ทรงคัดเลือกเครื่องดนตรีที่มีเสียงทุ้มนุ่มนวลมารวมกัน ดังนี้

            - ระนาดเอก (ใช้ไม้นวมตี) , ระนาดทุ้ม, ระนาดทุ้มเหล็ก, ฆ้องวงใหญ่, ฆ้องหุ่ย ๗ ใบเรียงตามระดับเสียง, ขลุ่ยเพียงออ, ตะโพน, ฉิ่ง, ซออู้ (เพิ่มเข้ามาภายหลัง), ขลุ่ยอู้ (มีผู้คิดเพิ่มภายหลัง)

 

               นอกจากนั้นเป็นเครื่อง วงปี่พาทย์ยังแบ่งไปได้อีกคือ วงปี่พาทย์ชาตรี , วงปี่พาทย์ไม้แข็ง , วงปี่พาทย์เครื่องห้า , วงปี่พาทย์เครื่องคู่ , วงปี่พาทย์เครื่องใหญ่ , วงปี่พาทย์ไม้นวม

 

  • วงเครื่องสาย

5682420

          เครื่องสาย ได้แก่ เครื่องดนตรี ที่ประกอบด้วยเครื่องดนตรีที่มีสายเป็นประธาน มีเครื่องเป่า และเครื่องตี เป็นส่วนประกอบ ได้แก่ ซอด้วง, ซออู้, จะเข้ เป็นต้น ปัจจุบันวงเครื่องสายมี 4 แบบ คือ วงเครื่องสายเครื่องเดี่ยว , วงเครื่องสายเครื่องคู่ , วงเครื่องสายผสม , วงเครื่องสายปี่ชวา

          -  วงเครื่องสายเครื่องเดี่ยว เป็นวงดนตรีไทยประเภทเครื่องสาย ประกอบด้วยเครื่องดนตรีขนาดเล็ก เหมาะสำหรับใช้บรรเลงในอาคารหรือบริเวณที่มีสถานที่จำกัด มีเครื่องดนตรีที่ใช้บรรเลงดังนี้ ซอด้วง, จะเข้, ซออู้, ขลุ่ยเพียงออ, ฉิ่ง, โทน, รำมะนา

          -  วงเครื่องสายเครื่องคู่ ประกอบด้วย เครื่องดนตรีที่อยู่ในวงเครื่องสายวงเล็กเป็นหลัก โดยเพิ่มจำนวนของเครื่องดนตรีประเภททำทำนองจากเครื่องมือละหนึ่งเป็นสองหรือคู่

          -  วงเครื่องสายผสม เป็นวงที่นำเอาเครื่องดนตรีนอกเหนือจากเครื่องสายไทยมาผสม เช่น ขิม ออร์แกน ไวโอลิน แคน หากนำเครื่องดนตรีใดมาผสม ก็เรียกชื่อวงตามเครื่องดนตรีนั้น เช่น วงเครื่องสายผสมขิม เป็นต้น

          - วงเครื่องสายผสมปี่ชวา เกิดจากวงเครื่องสายประสมกับวงกลองแขก เกิดขึ้นในปลายรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เครื่องดนตรีทุกชิ้นจะตั้งเสียงให้เท่ากับเสียงปี่ชวา ใช้กลองแขกแทนโทนและรำมะนา ใช้ขลุ่ยหลิบแทนขลุ่ยเพียงออ การบรรเลงเครื่องสายปี่ชวานั้น นักดนตรีต้องมีไหวพริบปฏิภาณดี โดยเฉพาะคนตีฉิ่งต้องมีสมาธิดีที่สุด จึงจะบรรเลงได้อย่างไพเราะ ในปัจจุบันหาดูได้ยากมาก

 

  • วงมโหรี

mhore1            วงมโหรี เกิดจากการประสมกันระหว่าง 1)วงบรรเลงพิณ (โบราณเรียก การขับร้องเป็นลำนำพร้อมกับการดีดพิณน้ำเต้า ในคน ๆ เดียว แต่มีสองลำนำขึ้นไปประสานเสียงกันว่า "วง") และ 2) วงขับไม้ (ผู้สีซอสามสายเป็นลำนำ ร่วมกับผู้ไกวบัณเฑาะว์) เกิดขึ้นครั้งแรกไม่น้อยกว่าสมัยกรุงสุโขทัย ภายหลังจึงประสมเครื่องดนตรีเพิ่มมากขึ้นโดยลำดับ เป็นวงมโหรีเครื่องสี่, หก และประสมเครื่องดนตรีวงปี่พาทย์ตามวิวัฒนาของวงปี่พาทย์เครื่องคู่ และเครื่องใหญ่แต่มีระเบียบวิธีที่เป็นข้อยึดถือเสมอมา คือ กำหนดให้ซอสามสาย และการขับร้องเป็นประธาน และยึดบันไดเสียงกลุ่มเสียงระดับเพียงออ ร่วมกับเน้นลักษณะการขับกล่อม เป็นสำคัญ แม้เมื่อประสมด้วยเครื่องปี่พาทย์ตามยุคต่าง ๆ ก็ดี ดุริยางคศิลปิน มักจะสร้างสรรค์ให้เครื่องปี่พาทย์ปรับเข้าหาเครื่องสาย และใช้โทน รำมะนา ในการกำกับจังหวะ เนื่องจากเป็นวงประเภทการขับกล่อมเพื่อสุนทรีย์ ด้วยการปรับขนาดเครื่องดนตรีให้เล็กลงเพื่อให้เสียงกลมกลืนกันกับเครื่องสาย และกำหนดให้เสียงลูกยอดของระนาดเอกจะพอดีกับเสียงนิ้วก้อยสายเอกของซอด้วง ตลอดจนเมื่อขนาดของเครื่องดนตรีปี่พาทย์เล็กลงจะใช้ไม้นวมบรรเลง

         -  วงมโหรีเครื่องสี่ เกิดจากการการประสมกันระหว่างการบรรเลงพิณและการขับไม้ ปรากฏครั้งแรกในสมัยอยุธยา มีเครื่องดนตรี 4 ชนิด คือ โทน, ซอสามสาย, กระจับปี่, กรับพวง (ผู้ขับร้องเป็นผู้ตี)

          -  วงมโหรีเครื่องหก ลักษณะคล้ายวงมโหรีเครื่องสี่ แต่ได้เพิ่มเครื่องดนตรีอีกสองอย่างคือ รำมะนา ขลุ่ยเพียงออ และใช้ ฉิ่ง แทน กรับพวง

          - วงมโหรีเครื่องคู่ เหมือนกับวงมโหรีเครื่องเล็ก แต่ได้เพิ่มระนาดทุ้ม ฆ้องวงเล็ก ขลุ่ยหลิบ ซอด้วง ซออู้ จะเข้ และซอสามสายหลิบ ขลุ่ยเพียงออ อย่างละหนึ่ง เครื่องดนตรีที่ใช้ในวงมโหรีเครื่องคู่ ได้แก่ ซอสามสาย 1 คัน, ซอสามสายหลิบ 1 คัน, ซอด้วง 2 คัน, ซออู้ 2 คัน, จะเข้ 2 ตัว, ขลุ่ยเพียงออ 1 เลา, ขลุ่ยหลิบ 1 เลา, ระนาดเอก (มโหรี) 1 ราง, ระนาดทุ้ม (มโหรี) 1 ราง, ฆ้องกลาง 1 วง, ฆ้องเล็ก 1 วง, ฉิ่ง, ฉาบ, กรับพวง, โหม่ง, โทน-รำมะนา

โอกาสที่ใช้
          ใช้บรรเลงขับกล่อมเพื่อความรื่นรมณ์ และงานมงคลเป็นหลัก เนื่องจากการเตรียมวงมโหรีนั้นยากกว่าการเตรียมวงปี่พาทย์และวงเครื่องสาย จึงจะสามารถพบได้ในงานมงคลหรืองานแสดงมหรสพที่มีขนาดใหญ่เท่านั้น ในงานทั่ว ๆ ไปจึงสามารถพบเห็นวงเครื่องสายและวงปี่พาทย์มากกว่า

 

 แหล่งอ้างอิง

          -  กรมส่งเสริมวัฒนธรรม - Department of Cultural Promotion

          -  https://th.wikipedia.org/

          - http://thailandclassicalmusic.com/thaimusic/6mhore.htm#mhore3