สุนทรียภาพแห่งดนตรี เพื่อชีวีเป็นสุข      ดนตรีไทยคือมรดกทางวัฒนธรรมที่สะท้อนความงดงามและเอกลักษณ์ของชาติไทยผ่านเสียงเพลงและเครื่องดนตรีประจำถิ่น.

          การสืบสาวเรื่องราวเกี่ยวกับความเป็นมาของดนตรีตั้งแต่สมัยโบราณมา นับว่าเป็นเรื่องยากที่จะให้ได้เรื่องราว สมัยของการรู้จักใช้อักษรหรือสัญลักษณ์อื่นๆ เพึ่งจะมีปรากฏและเริ่มนิยมใช้กันในสมัยเริ่มต้นของยุค Middle age คือระหว่างศตวรรษที่ 5-6 และการบันทึกมีเพียงเครื่องหมายแสดงเพียงระดับของเสียง และจังหวะ ( Pitch and time ) ดนตรีเกิดขึ้นมาในโลกพร้อมๆกับมนุษย์เรานั่นเอง ในยุคแรกๆมนุษย์อาศัยอยู่ในป่าดง ในถ้ำ ในโพรงไม้ แต่ก็รู้จักการร้องรำทำเพลงตามธรรมชาติ เช่นรู้จักปรบมือ เคาะหิน เคาะไม้ เป่าปาก เป่าเขา และเปล่งเสียงร้องตามเรื่อง การร้องรำทำเพลงไปเพื่ออ้อนวอนพระเจ้าเพื่อช่วยให้ตนพ้นภัย บันดาลความสุขความอุดมสมบูรณ์ต่างๆให้แก่ตน หรือเป็นการบูชาแสดงความขอบคุณพระเจ้าที่บันดาลให้ตนมีความสุขความสบาย

 

          โลกได้ผ่านหลายยุคหลายสมัย ดนตรีได้วิวัฒนาการไปตามความเจริญและความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์ เครื่องดนตรีที่เคยใช้ในสมัยเริ่มแรกก็มีการวิวัฒนาการมาเป็นขั้นๆ กลายเป็นเครื่องดนตรี ที่เราเห็นอยู่ทุกวัน เพลงที่ร้องเพื่ออ้อนวอนพระเจ้า ก็กลายมาเป็นเพลงสวดทางศาสนา และเพลงร้องโดยทั่วๆไป

 

          ในระยะแรก ดนตรีมีเพียงเสียงเดียวและแนวเดียวเท่านั้นเรียกว่า Melody ไม่มีการประสานเสียง จนถึงศตวรรษที่ 12 มนุษย์เราเริ่มรู้จักการใช้เสียงต่างๆมาประสานกันอย่างง่ายๆ เกิดเป็นดนตรีหลายเสียงขึ้นมา

 

ยุคต่างๆของดนตรีสากล

นักปราชญ์ทางดนตรีได้แบ่งดนตรีสากลออกเป็นยุคต่างๆดังนี้

1.  Polyphonic Perio ( ค.ศ. 1200-1650)

bostband

          ยุค โพลีโฟนิก (Polyphonic Era) หรือที่บางครั้งเรียกว่า ยุคกลางตอนปลายและยุคเรอเนซองส์ตอนต้น ในประวัติศาสตร์ดนตรีตะวันตก ครอบคลุมช่วงเวลาประมาณ ค.ศ. 1200 - 1650 เป็นช่วงเวลาที่สำคัญอย่างยิ่งต่อพัฒนาการของดนตรี เพราะเป็นช่วงที่ดนตรีเริ่มเปลี่ยนจากการใช้เสียงเดียว (monophony) ไปสู่การใช้หลายเสียงพร้อมกันอย่างอิสระ (polyphony)

ลักษณะสำคัญของดนตรียุคโพลีโฟนิก

  • โพลีโฟนี (Polyphony): นี่คือหัวใจสำคัญของยุคนี้ โพลีโฟนี คือการที่บทเพลงประกอบด้วย แนวทำนองที่แตกต่างกันหลายแนว (สองแนวขึ้นไป) ที่ดำเนินไปพร้อมกัน โดยแต่ละแนวมีความสำคัญเท่าเทียมกัน ไม่ใช่มีแค่แนวทำนองหลักหนึ่งแนวแล้วมีเสียงอื่นมาประกอบ (ซึ่งเรียกว่า Homophony ที่จะเด่นชัดในยุคต่อมา) การสร้างสรรค์ดนตรีแบบโพลีโฟนีนี้เรียกว่า เคาน์เตอร์พอยต์ (Counterpoint) ซึ่งต้องอาศัยทักษะและความเข้าใจในการผสมผสานแนวทำนองต่างๆ ให้กลมกลืน
  • ความซับซ้อนทางเทคนิค: การเขียนดนตรีแบบโพลีโฟนีนั้นซับซ้อนกว่าแบบโมโนโฟนีมาก นักประพันธ์ต้องคิดถึงความสัมพันธ์ของแต่ละแนวเสียง การประสานเสียง และจังหวะที่ซ้อนทับกัน

A Cappella (อะแคปเปลลา):

  • ดนตรีร้องในยุคแรกๆ ของโพลีโฟนีมักจะ

ร้องโดยไม่มีเครื่องดนตรีประกอบ

  • โดยเฉพาะในดนตรีศาสนา
  • เครื่องดนตรีเริ่มมีบทบาท: แม้ว่าเสียงร้องจะเป็นหัวใจหลัก แต่ในช่วงปลายยุคนี้ เครื่องดนตรีก็เริ่มเข้ามามีบทบาทมากขึ้นในการบรรเลงประกอบหรือบรรเลงเดี่ยว
  • การพัฒนาทางทฤษฎีดนตรี: เพื่อรองรับความซับซ้อนของโพลีโฟนี ทำให้มีการพัฒนาระบบการบันทึกโน้ต (Notation) และทฤษฎีดนตรีที่แม่นยำมากขึ้น เพื่อให้นักดนตรีสามารถบรรเลงบทเพลงที่มีหลายเสียงได้อย่างถูกต้องและพร้อมเพรียงกัน

รูปแบบดนตรีที่สำคัญ

ในยุคโพลีโฟนิกมีรูปแบบดนตรีที่หลากหลาย ทั้งทางศาสนาและทางโลก:

  • มิสซา (Mass): เป็นบทเพลงทางศาสนาสำหรับพิธีมิสซาในโบสถ์ ซึ่งประกอบด้วยบทเพลงหลายท่อนที่ขับร้องโดยคณะนักร้องประสานเสียง
  • โมเต็ต (Motet): เป็นบทเพลงประสานเสียงทางศาสนาที่สั้นกว่ามิสซา มักจะนำข้อความจากพระคัมภีร์หรือบทสวดมาใช้
  • มัดริกาล (Madrigal): เป็นบทเพลงประสานเสียงสำหรับร้องโดยไม่มีเครื่องดนตรีประกอบ มีเนื้อหาเกี่ยวกับความรัก ชีวิตประจำวัน หรือเรื่องราวทางโลก มักจะแสดงอารมณ์ที่หลากหลายและมีการใช้เทคนิคการวาดภาพด้วยเสียง (word painting)
  • แชนซอง (Chanson): บทเพลงประสานเสียงภาษาฝรั่งเศสที่มีเนื้อหาทางโลก
  • ออร์กานุม (Organum): เป็นรูปแบบโพลีโฟนีที่เก่าแก่ที่สุด โดยมีการเพิ่มเสียงร้องคู่ขนานไปกับเสียงร้องเพลงสวดหลัก (Plainchant)

ยุคย่อยและคีตกวีที่สำคัญ

ยุคโพลีโฟนิกสามารถแบ่งออกเป็นยุคย่อยๆ ได้ดังนี้:

  • ยุคกอทิก (Gothic Period / Ars Antiqua: ประมาณ ค.ศ. 1200 - 1300):
    • เริ่มมีการพัฒนาโพลีโฟนีในรูปแบบแรกๆ โดยเฉพาะในโรงเรียนดนตรีโนเทรอดาม (Notre Dame School) ที่ปารีส
    • คีตกวีสำคัญ: Léonin, Pérotin (เป็นที่รู้จักจากการพัฒนา Organum ให้มีหลายเสียง)
  • อาร์สโนวา (Ars Nova: ศตวรรษที่ 14):
    • "Ars Nova" แปลว่า "ศิลปะใหม่" เป็นยุคที่มีการพัฒนาระบบจังหวะและการบันทึกโน้ตที่ซับซ้อนขึ้น ทำให้สามารถสร้างสรรค์ดนตรีที่แสดงออกถึงอารมณ์ได้มากขึ้น
    • คีตกวีสำคัญ: Guillaume de Machaut (เป็นนักประพันธ์ชาวฝรั่งเศสที่มีชื่อเสียงด้าน Mass และ Motet)
  • ยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา (Renaissance Period / Polyphonic Schools: ศตวรรษที่ 15 - กลางศตวรรษที่ 16):
    • โพลีโฟนีรุ่งเรืองถึงขีดสุด มีการพัฒนาเทคนิคการลอกเลียนแบบ (Imitation) ระหว่างแนวเสียงต่างๆ ทำให้ดนตรีมีความกลมกลืนและซับซ้อนมากยิ่งขึ้น
    • คีตกวีสำคัญ:
      • Guillaume Du Fay: (ต้นยุคเรอเนซองส์ ชาวเบลเยียม)
      • Josquin des Prez: (นักประพันธ์ชาวฝรั่งเศส-เฟลมิช ถือเป็นหนึ่งในปรมาจารย์แห่งโพลีโฟนี)
      • Giovanni Pierluigi da Palestrina: (นักประพันธ์ชาวอิตาลีผู้มีชื่อเสียงด้านดนตรีศาสนา)
      • Orlande de Lassus: (นักประพันธ์ชาวเฟลมิชที่มีผลงานหลากหลาย)
      • William Byrd: (นักประพันธ์ชาวอังกฤษ)
      • Claudio Monteverdi: (แม้จะอยู่ในช่วงคาบเกี่ยวเข้าสู่ยุคบาโรก แต่ผลงานช่วงแรกของเขายังคงเน้นโพลีโฟนี โดยเฉพาะในมัดริกาล และถือเป็นผู้บุกเบิกโอเปร่า)
      • Giovanni Gabrieli: (นักประพันธ์ชาวอิตาลี มีชื่อเสียงด้านดนตรีสำหรับวงเครื่องดนตรี และการใช้เสียงจากหลายกลุ่ม)

บทบาททางประวัติศาสตร์

          ยุคโพลีโฟนิกเป็นรากฐานสำคัญของการพัฒนาดนตรีตะวันตก ทำให้ดนตรีมีความซับซ้อนและมีมิติมากยิ่งขึ้น เป็นการปูทางไปสู่ความก้าวหน้าทางดนตรีในยุคบาโรกและยุคต่อๆ ไป โดยเฉพาะการพัฒนาด้านความกลมกลืนของเสียง (Harmony) และการใช้เครื่องดนตรี

 

 

2.  Baroque Period ( ค.ศ. 1650-1750)

MusicHistory clip image002

          ยุค บาโรก (Baroque Period) กินเวลาประมาณ ค.ศ. 1650 - 1750 ถือเป็นช่วงเวลาที่สำคัญและยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์ดนตรีตะวันตก ซึ่งพัฒนามาจากยุคโพลีโฟนิกก่อนหน้า เป็นยุคที่ดนตรีมีความโอ่อ่า หรูหรา ซับซ้อน และเต็มไปด้วยสีสัน

ลักษณะสำคัญของดนตรียุคบาโรก

  • ความโอ่อ่าและยิ่งใหญ่ (Grandeur and Drama): ดนตรีบาโรกมักจะเน้นความยิ่งใหญ่ อลังการ และสร้างอารมณ์ที่เข้มข้น มีความรู้สึกของการเคลื่อนไหวและพลังงานอยู่ตลอดเวลา
  • ความเป็นเอกภาพของอารมณ์ (Unity of Affections): บทเพลงในยุคบาโรกมักจะรักษาอารมณ์เดียวตลอดทั้งท่อน หรือตลอดทั้งเพลง โดยมักจะเริ่มต้นด้วยแนวทำนองหลักที่สร้างอารมณ์นั้นๆ แล้วขยายความหรือพัฒนาไปเรื่อยๆ
  • Basso Continuo (เบสโซ่ คอนตินูโอ): เป็นลักษณะเด่นที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งของดนตรีบาโรก คือการมีแนวเบสที่เล่นต่อเนื่องตลอดทั้งเพลง โดยปกติจะเล่นโดยเครื่องดนตรีเบส เช่น เชลโล ดับเบิลเบส บาสซูน และมีเครื่องดนตรีคอร์ด เช่น ฮาร์ปซิคอร์ด ออร์แกน หรือลูท บรรเลงคอร์ดประกอบจากสัญลักษณ์ที่เรียกว่า Figured Bass ทำให้เกิดรากฐานทางฮาร์โมนีที่มั่นคง
  • โพลีโฟนีและโฮโมโฟนี (Polyphony and Homophony): แม้ว่าโพลีโฟนีจะยังคงมีบทบาทสำคัญ โดยเฉพาะในบทเพลงอย่างฟูกู (Fugue) แต่โฮโมโฟนี (แนวทำนองหลักหนึ่งแนวมีเสียงอื่นๆ ประกอบเป็นคอร์ด) ก็เริ่มเข้ามามีบทบาทมากขึ้นและช่วยเสริมสร้างความซับซ้อนให้กับดนตรี
  • การใช้บันไดเสียงเมเจอร์และไมเนอร์ (Major and Minor Keys): แทนที่โมด (Mode) ที่ใช้ในยุคกลางและเรอเนซองส์ ระบบบันไดเสียงเมเจอร์และไมเนอร์กลายเป็นพื้นฐานหลักในการประพันธ์เพลง ทำให้ดนตรีมีโครงสร้างทางฮาร์โมนีที่ชัดเจนยิ่งขึ้น
  • จังหวะที่ชัดเจนและขับเคลื่อน (Clear and Driving Rhythm): ดนตรีบาโรกมักมีจังหวะที่เด่นชัดและต่อเนื่อง ทำให้เกิดความรู้สึกของการเคลื่อนไหวไม่หยุดนิ่ง
  • ความตัดกันของเสียงและความดังเบา (Contrast and Dynamics): มีการใช้ความตัดกันของเสียง เช่น การบรรเลงเดี่ยวกับบรรเลงกลุ่ม หรือการเปลี่ยนความดังเบาแบบกะทันหัน (Terraced Dynamics) แทนการค่อยๆ เพิ่มหรือลดเสียง
  • การด้นสด (Improvisation): นักดนตรีมักจะมีการด้นสดในการบรรเลง โดยเฉพาะในส่วนของ Basso Continuo หรือการประดับประดาแนวทำนอง
  • เครื่องดนตรีที่พัฒนาขึ้น: เครื่องดนตรีหลายชนิดได้รับการพัฒนาให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น ไวโอลิน เชลโล ฟลูท โอโบ ทรัมเป็ต และที่สำคัญคือ ฮาร์ปซิคอร์ด และออร์แกน

รูปแบบดนตรีที่สำคัญในยุคบาโรก

  • คอนแชร์โต (Concerto): บทเพลงสำหรับเครื่องดนตรีเดี่ยว (Solo Concerto) หรือกลุ่มเครื่องดนตรี (Concerto Grosso) ที่บรรเลงสลับกันกับวงออร์เคสตรา มักมี 3 ท่อน (เร็ว-ช้า-เร็ว)
  • โอเปร่า (Opera): ละครดนตรีที่ผู้แสดงขับร้องเป็นหลัก มีการจัดฉาก เครื่องแต่งกาย และการแสดง
  • โอราทอริโอ (Oratorio): บทเพลงขนาดใหญ่สำหรับนักร้องเดี่ยว คณะนักร้องประสานเสียง และวงออร์เคสตรา มีเนื้อหาทางศาสนา แต่ไม่มีฉากและการแสดง
  • คันตาตา (Cantata): บทเพลงสำหรับเสียงร้องเดี่ยวหรือกลุ่มประสานเสียง มักมีเนื้อหาทางศาสนา คล้ายโอราทอริโอแต่สั้นกว่า
  • ฟูกู (Fugue): บทเพลงโพลีโฟนีที่ซับซ้อน โดยมีแนวทำนองหลัก (Subject) ที่ถูกนำเสนอและเลียนแบบในแนวเสียงต่างๆ อย่างเป็นระบบ
  • โซนาตา (Sonata): บทเพลงสำหรับเครื่องดนตรีเดี่ยวหรือสองชิ้น (Sonata da camera สำหรับการแสดงในห้องโถง หรือ Sonata da chiesa สำหรับโบสถ์) มักมีหลายท่อน
  • ซูอิท (Suite): บทเพลงที่ประกอบด้วยชุดเพลงเต้นรำหลายๆ เพลงที่นำมารวมกัน โดยแต่ละเพลงมีจังหวะและลักษณะเฉพาะตัว

คีตกวีสำคัญในยุคบาโรก

ยุคบาโรกมีคีตกวีผู้ยิ่งใหญ่หลายท่านที่สร้างสรรค์ผลงานอันเป็นอมตะ:

  • Johann Sebastian Bach (โยฮันน์ เซบัสเตียน บาค) (1685-1750):
    • นักประพันธ์ชาวเยอรมัน ผู้ถือเป็นอัจฉริยะแห่งการประพันธ์แบบโพลีโฟนีและเคาน์เตอร์พอยต์
    • ผลงานเด่น: Brandenburg Concertos, The Well-Tempered Clavier, Mass in B minor, St. Matthew Passion, Cello Suites, Toccata and Fugue in D minor
    • ดนตรีของบาคเต็มไปด้วยความซับซ้อนทางเทคนิค ความลึกซึ้งทางอารมณ์ และความสมบูรณ์แบบทางโครงสร้าง
  • George Frideric Handel (จอร์จ ฟรีดริก แฮนเดล) (1685-1759):
    • นักประพันธ์ชาวเยอรมันที่ไปสร้างชื่อเสียงอย่างมากในอังกฤษ มีชื่อเสียงเป็นพิเศษด้านโอเปร่าและโอราทอริโอ
    • ผลงานเด่น: Messiah (โอราทอริโอที่มีชื่อเสียงที่สุด โดยเฉพาะ "Hallelujah Chorus"), Water Music, Music for the Royal Fireworks, โอเปร่าหลายเรื่อง
    • ดนตรีของแฮนเดลมีท่วงทำนองที่ติดหู มีพลัง และมักจะสร้างความรู้สึกตื่นเต้นและยิ่งใหญ่
  • Antonio Vivaldi (อันโตนิโอ วีวัลดี) (1678-1741):
    • นักประพันธ์และนักไวโอลินชาวอิตาลี ผู้มีฉายาว่า "นักบวชผมแดง" (The Red Priest) มีชื่อเสียงอย่างมากในการประพันธ์คอนแชร์โต
    • ผลงานเด่น: The Four Seasons (ชุดคอนแชร์โตไวโอลินที่โด่งดังที่สุด), คอนแชร์โตอีกกว่า 500 บทสำหรับเครื่องดนตรีหลากหลายชนิด
    • ดนตรีของวีวัลดีโดดเด่นด้วยท่วงทำนองที่สดใส มีชีวิตชีวา และจังหวะที่เร้าใจ
  • Claudio Monteverdi (คลอดิโอ มอนเตแวร์ดี) (1567-1643):
    • แม้จะคาบเกี่ยวจากยุคเรอเนซองส์ แต่ถือเป็นผู้บุกเบิกและเป็นบิดาแห่งโอเปร่าด้วยผลงาน L'Orfeo และยังเป็นนักประพันธ์มัดริกาลที่สำคัญ
  • Henry Purcell (เฮนรี่ เพอร์เซลล์) (1659-1695):
    • นักประพันธ์ชาวอังกฤษผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุคบาโรก
    • ผลงานเด่น: โอเปร่า Dido and Aeneas, เพลงสำหรับละครเวที และดนตรีสำหรับพิธีทางศาสนา
  • Georg Philipp Telemann (เกออร์ก ฟิลิป เทเลมันน์) (1681-1767):
    • นักประพันธ์ชาวเยอรมันที่มีผลงานมากมายและเป็นที่นิยมอย่างกว้างขวางในยุคของเขา

          ยุคบาโรกจึงเป็นยุคแห่งความรุ่งเรืองของดนตรีคลาสสิก ที่วางรากฐานให้กับรูปแบบดนตรีและหลักการทางฮาร์โมนีที่จะพัฒนาต่อไปในยุคคลาสสิกและยุคต่อๆ ไป

 

3.  Classical Period ( ค.ศ. 1750-1820 )

MusicHistory clip image004

          ยุค คลาสสิก (Classical Period) ในประวัติศาสตร์ดนตรีตะวันตก กินเวลาประมาณ ค.ศ. 1750 - 1820 ถือเป็นช่วงเวลาที่สำคัญซึ่งดนตรีเปลี่ยนผ่านจากความซับซ้อนโอ่อ่าของยุคบาโรก ไปสู่ความสมดุล ความชัดเจน ความสง่างาม และความเป็นธรรมชาติมากขึ้น

ลักษณะสำคัญของดนตรียุคคลาสสิก

  • ความสมดุลและความชัดเจน (Balance and Clarity): ดนตรีในยุคคลาสสิกมุ่งเน้นความสมดุลของรูปแบบ ความชัดเจนของโครงสร้าง และความง่ายต่อการเข้าใจ สิ่งเหล่านี้สะท้อนแนวคิดของ "เหตุผล" (Reason) และ "ระเบียบ" (Order) ของยุคแสงสว่าง (Enlightenment)
  • โฮโมโฟนี (Homophony) เป็นหลัก: แทนที่โพลีโฟนีที่ซับซ้อนของยุคบาโรก ดนตรีคลาสสิกเน้นแนวทำนองหลักที่ชัดเจนหนึ่งแนว โดยมีเสียงอื่นๆ บรรเลงประกอบเป็นคอร์ด ซึ่งทำให้ผู้ฟังเข้าถึงได้ง่ายขึ้น
  • ความหลากหลายของอารมณ์ (Variety of Mood): ต่างจากยุคบาโรกที่มักรักษาอารมณ์เดียวตลอดท่อน ดนตรีคลาสสิกมีการเปลี่ยนแปลงอารมณ์ ความดังเบา และจังหวะภายในท่อนเดียวกัน ทำให้เพลงมีความน่าสนใจและไม่จำเจ
  • การพัฒนาของโครงสร้างเพลง (Development of Musical Forms):
    • โซนาตา ฟอร์ม (Sonata Form): เป็นโครงสร้างที่สำคัญที่สุดในยุคนี้ มักใช้กับท่อนแรกของซิมโฟนี โซนาตา คอนแชร์โต และแชมเบอร์มิวสิค โครงสร้างประกอบด้วย Exposition (นำเสนอ), Development (พัฒนา) และ Recapitulation (ย้อนกลับ)
    • ท่วงทำนองที่ชัดเจนและติดหู (Memorable Melodies): แนวทำนองมักจะสั้น กระชับ และจำง่าย
    • การพัฒนาของเครื่องดนตรี: เปียโนเข้ามาแทนที่ฮาร์ปซิคอร์ด และวงออร์เคสตราได้รับการจัดระบบให้มีมาตรฐานมากขึ้น โดยเฉพาะการเพิ่มเครื่องลมไม้และเครื่องลมทองเหลืองเข้ามาอย่างเป็นระบบ
    • การใช้ Crescendo และ Decrescendo: การค่อยๆ เพิ่มหรือลดความดังของเสียง ซึ่งต่างจากการเปลี่ยนความดังแบบกะทันหันในยุคบาโรก

รูปแบบดนตรีที่สำคัญในยุคคลาสสิก

  • ซิมโฟนี (Symphony): บทเพลงขนาดใหญ่สำหรับวงออร์เคสตรา มักมี 4 ท่อน (เร็ว-ช้า-Minuet/Scherzo-เร็ว) ถือเป็นรูปแบบดนตรีที่สำคัญที่สุดในยุคนี้
  • คอนแชร์โต (Concerto): บทเพลงสำหรับเครื่องดนตรีเดี่ยวกับวงออร์เคสตรา มักมี 3 ท่อน (เร็ว-ช้า-เร็ว) โดยมีช่วง Cadenza ที่นักดนตรีเดี่ยวแสดงทักษะการด้นสด
  • โซนาตา (Sonata): บทเพลงสำหรับเครื่องดนตรีเดี่ยว (เช่น เปียโนโซนาตา) หรือเครื่องดนตรีเดี่ยวกับเปียโน มักมี 3 หรือ 4 ท่อน
  • แชมเบอร์ มิวสิค (Chamber Music): ดนตรีสำหรับกลุ่มนักดนตรีขนาดเล็ก (2-9 คน) โดยไม่มีวาทยกร ตัวอย่างที่สำคัญที่สุดคือ String Quartet (วงควอเต็ตเครื่องสาย) ประกอบด้วย ไวโอลิน 2 คัน, วิโอลา 1 คัน, เชลโล 1 คัน
  • โอเปร่า (Opera): ยังคงเป็นที่นิยม แต่เริ่มมีการพัฒนาไปในแนวทางที่เน้นความสมจริงของตัวละครและเนื้อเรื่องมากขึ้น โดยเฉพาะ โอเปร่า บัฟฟา (Opera Buffa) หรือโอเปร่าตลก

คีตกวีสำคัญในยุคคลาสสิก

ยุคคลาสสิกมี "สามสุดยอด" คีตกวีที่ทรงอิทธิพลและสร้างสรรค์ผลงานอันเป็นอมตะ:

  • Joseph Haydn (โยเซฟ ไฮเดิน) (1732-1809):
    • นักประพันธ์ชาวออสเตรีย ได้รับการยกย่องว่าเป็น "บิดาแห่งซิมโฟนี" และ "บิดาแห่ง String Quartet" เนื่องจากเป็นผู้กำหนดโครงสร้างและพัฒนาสองรูปแบบนี้ให้เป็นมาตรฐาน
    • ผลงานเด่น: Symphony No. 94 "Surprise", Symphony No. 101 "The Clock", The Creation (โอราทอริโอ), และ String Quartets จำนวนมาก
    • ดนตรีของไฮเดินมีความร่าเริง มีอารมณ์ขัน และเต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์
  • Wolfgang Amadeus Mozart (โวล์ฟกัง อมาเดอุส โมสาร์ท) (1756-1791):
    • นักประพันธ์ชาวออสเตรียผู้เป็นอัจฉริยะทางดนตรี มีพรสวรรค์โดดเด่นตั้งแต่เด็ก และประพันธ์ผลงานมากมายในทุกรูปแบบ
    • ผลงานเด่น: Symphony No. 40 in G minor, Symphony No. 41 "Jupiter", โอเปร่า The Marriage of Figaro, Don Giovanni, The Magic Flute, Requiem, คอนแชร์โตเปียโนและไวโอลินจำนวนมาก, และเปียโนโซนาตา
    • ดนตรีของโมสาร์ทโดดเด่นด้วยท่วงทำนองที่ไพเราะงดงาม ความสมบูรณ์แบบทางโครงสร้าง และความลึกซึ้งทางอารมณ์
  • Ludwig van Beethoven (ลุดวิก ฟาน เบโทเฟน) (1770-1827):
    • นักประพันธ์ชาวเยอรมัน ผู้เป็น ผู้เชื่อมโยงระหว่างยุคคลาสสิกและโรแมนติก ผลงานของเขามีความยิ่งใหญ่ พลัง และการแสดงออกทางอารมณ์ที่ลึกซึ้งกว่าคีตกวีคนอื่นๆ ในยุคคลาสสิก
    • ผลงานเด่น: Symphony No. 3 "Eroica", Symphony No. 5, Symphony No. 9 "Choral", เปียโนโซนาตาเช่น "Moonlight", "Pathétique", "Appassionata", คอนแชร์โตเปียโนและไวโอลิน, และ String Quartets
    • ดนตรีของเบโทเฟนเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น การต่อสู้ และการแสดงออกถึงจิตวิญญาณของมนุษย์ ทำให้เขากลายเป็นสัญลักษณ์ของการเปลี่ยนแปลงทางดนตรี
  • Christoph Willibald Gluck (คริสตอฟ วิลลิบาลด์ กลุ๊ก) (1714-1787):
    • นักประพันธ์ชาวเยอรมันผู้ปฏิรูปโอเปร่าให้มีความสมจริงและเน้นการแสดงอารมณ์ของตัวละครมากขึ้น

          ยุคคลาสสิกได้สร้างรากฐานสำคัญของดนตรีตะวันตกที่ยังคงใช้และศึกษามาจนถึงปัจจุบัน ด้วยการเน้นความชัดเจน ความสมดุล และโครงสร้างที่เข้าใจง่าย ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจให้กับคีตกวีในยุคต่อๆ ไป

 

 

4.  Romantic Period ( ค.ศ. 1820-1900 )

MusicHistory clip image006

          ยุค โรแมนติก (Romantic Period) ในประวัติศาสตร์ดนตรีตะวันตก กินเวลาประมาณ ค.ศ. 1820 - 1900 เป็นยุคที่ดนตรีหลุดพ้นจากกรอบและข้อจำกัดของยุคคลาสสิก มุ่งเน้นการแสดงออกทางอารมณ์ ความรู้สึกส่วนตัว จินตนาการ และเรื่องราวที่ยิ่งใหญ่เหนือจริง

ลักษณะสำคัญของดนตรียุคโรแมนติก

  • การแสดงออกทางอารมณ์ที่รุนแรงและเป็นส่วนตัว (Intense Emotion and Subjectivity): นี่คือหัวใจของยุคโรแมนติก คีตกวีไม่เพียงแต่แสดงอารมณ์ แต่ยังถ่ายทอดความรู้สึกภายในที่ซับซ้อน ความฝัน ความปรารถนา ความเจ็บปวด และความตื่นเต้นอย่างเต็มที่
  • ความเป็นปัจเจกบุคคล (Individualism): คีตกวีแต่ละคนมีสไตล์และเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่โดดเด่น ไม่ได้ยึดติดกับรูปแบบที่ตายตัวเหมือนยุคคลาสสิก
  • การขยายขนาดวงออร์เคสตรา (Expanded Orchestra): มีการเพิ่มจำนวนเครื่องดนตรีและชนิดของเครื่องดนตรีมากขึ้น โดยเฉพาะเครื่องลมไม้และเครื่องลมทองเหลือง ทำให้วงมีเสียงที่ยิ่งใหญ่ หลากหลาย และมีพลังมากขึ้น
  • ความซับซ้อนทางฮาร์โมนี (Complex Harmony): มีการใช้คอร์ดที่ซับซ้อนมากขึ้น การใช้โครมาติก (Chromaticism) คือการใช้โน้ตนอกบันไดเสียง และการเปลี่ยนคีย์บ่อยครั้ง เพื่อสร้างความตึงเครียดและสีสันทางเสียง
  • ท่วงทำนองที่ยาวและพลิ้วไหว (Long, Lyrical Melodies): แนวทำนองมักจะยาว ไพเราะ และแสดงอารมณ์ได้อย่างลึกซึ้ง
  • จังหวะที่ยืดหยุ่น (Flexible Rhythm): มีการใช้จังหวะที่ผ่อนปรน (Tempo Rubato) คือการยืดหดจังหวะอย่างอิสระเพื่อเพิ่มการแสดงออกทางอารมณ์
  • Program Music (ดนตรีพรรณนา): เป็นแนวเพลงที่สำคัญในยุคนี้ คีตกวีพยายามเล่าเรื่องราว อธิบายภาพ หรือถ่ายทอดแนวคิดบางอย่างผ่านดนตรี โดยมักจะมีชื่อเพลงที่บ่งบอกเรื่องราว (เช่น Symphonic Poem, Program Symphony) ต่างจาก Absolute Music (ดนตรีบริสุทธิ์) ที่ไม่มีเรื่องราวภายนอก
  • การใช้ Folklore และ Nationalism: คีตกวีบางคนเริ่มนำเอาเพลงพื้นบ้าน นิทาน หรือประวัติศาสตร์ของชาติมาประพันธ์เป็นเพลง เพื่อแสดงออกถึงเอกลักษณ์และความภาคภูมิใจในชาติ ุ
  • Virtuosity (ความสามารถทางเทคนิค): ดนตรีในยุคนี้มักต้องการทักษะการบรรเลงที่สูงมาก โดยเฉพาะจากนักแสดงเดี่ยว (Soloists) ที่เป็นอัจฉริยะ (Virtuoso)
  • ความสำคัญของเปียโน: เปียโนได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องและกลายเป็นเครื่องดนตรีที่สำคัญที่สุดในการประพันธ์เพลงเดี่ยว และใช้ในการแสดงคอนเสิร์ตอย่างแพร่หลาย

รูปแบบดนตรีที่สำคัญในยุคโรแมนติก

  • Symphonic Poem / Tone Poem: รูปแบบดนตรีบรรเลงสำหรับวงออร์เคสตราที่มีท่อนเดียว แต่ยาวและมักจะเล่าเรื่องราว หรือถ่ายทอดภาพจากบทกวี วรรณกรรม หรือตำนาน
  • Program Symphony: ซิมโฟนีที่มีหลายท่อน แต่แต่ละท่อนมีความเชื่อมโยงทางเรื่องราวหรือแนวคิดเดียวกัน
  • Concerto: ยังคงเป็นที่นิยม แต่มีความท้าทายทางเทคนิคสำหรับผู้บรรเลงเดี่ยวมากขึ้น และมักจะเน้นความยิ่งใหญ่ของวงออร์เคสตราด้วย
  • Lieder (German Art Song): บทเพลงสำหรับเสียงร้องเดี่ยวกับเปียโน เนื้อเพลงมักเป็นบทกวีที่มีความหมายลึกซึ้ง
  • Character Piece: บทเพลงสั้นๆ สำหรับเปียโนที่แสดงอารมณ์หรือภาพเดียว (เช่น Nocturne, Prelude, Impromptu)
  • Romantic Opera: โอเปร่ายังคงได้รับความนิยมและพัฒนาไปในรูปแบบที่หลากหลาย ทั้ง Grand Opera (ฝรั่งเศส), Verismo (อิตาลี), หรือ Music Drama (เยอรมนี)

คีตกวีสำคัญในยุคโรแมนติก

ยุคโรแมนติกมีคีตกวีผู้ยิ่งใหญ่จำนวนมากที่สร้างสรรค์ผลงานอันเป็นอมตะ:

  • Franz Schubert (ฟรันซ์ ชูเบิร์ท) (1797-1828):
    • นักประพันธ์ชาวออสเตรีย ผู้เชื่อมโยงกับเบโทเฟน เป็นผู้บุกเบิกเพลง Lieder และมีซิมโฟนีที่โดดเด่น
    • ผลงานเด่น: Erlkönig (Lieder), Unfinished Symphony, Winterreise (ชุด Lieder)
  • Hector Berlioz (เอกตอร์ แบร์ลิโอซ) (1803-1869):
    • นักประพันธ์ชาวฝรั่งเศส ผู้บุกเบิก Program Symphony และการใช้เครื่องดนตรีในวงออร์เคสตราอย่างสร้างสรรค์
    • ผลงานเด่น: Symphonie fantastique (ซิมโฟนีพรรณนาที่โด่งดัง)
  • Frédéric Chopin (เฟรเดริก โชแปง) (1810-1849):
    • นักประพันธ์และนักเปียโนชาวโปแลนด์ผู้เป็นอัจฉริยะด้านเปียโน มีผลงานส่วนใหญ่สำหรับเปียโนเดี่ยว
    • ผลงานเด่น: Nocturnes, Waltzes, Polonaises, Ballades, Concertos for Piano
  • Robert Schumann (โรเบิร์ต ชูมันน์) (1810-1856):
    • นักประพันธ์ชาวเยอรมัน ผู้สร้างสรรค์ Lieder, Character Pieces สำหรับเปียโน และซิมโฟนีที่เต็มไปด้วยอารมณ์
    • ผลงานเด่น: Carnaval, Dichterliebe (ชุด Lieder), Symphony No. 3 "Rhenish"
  • Felix Mendelssohn (เฟลิกซ์ เมนเดลโซห์น) (1809-1847):
    • นักประพันธ์ชาวเยอรมัน ผู้มีความสมดุลระหว่างความคลาสสิกและโรแมนติก
    • ผลงานเด่น: Violin Concerto in E minor, A Midsummer Night's Dream Overture, Elijah (โอราทอริโอ)
  • Johannes Brahms (โยฮันเนส บราห์มส์) (1833-1897):
    • นักประพันธ์ชาวเยอรมัน ผู้สืบทอดมรดกจากเบโทเฟน มีผลงานซิมโฟนีที่ยิ่งใหญ่และหนักแน่น และเพลงแชมเบอร์ที่ลึกซึ้ง
    • ผลงานเด่น: Symphony No. 1, 2, 3, 4, A German Requiem, Violin Concerto
  • Pyotr Ilyich Tchaikovsky (ปิออตร์ อิลิช ไชคอฟสกี) (1840-1893):
    • นักประพันธ์ชาวรัสเซีย ผู้มีชื่อเสียงด้านบัลเลต์ ซิมโฟนี และคอนแชร์โต
    • ผลงานเด่น: Swan Lake, The Nutcracker, Sleeping Beauty (บัลเลต์), Symphony No. 6 "Pathétique", Piano Concerto No. 1, Violin Concerto
  • Richard Wagner (ริชาร์ด วากเนอร์) (1813-1883):
    • นักประพันธ์โอเปร่าชาวเยอรมัน ผู้ปฏิวัติรูปแบบโอเปร่าเป็น "Music Drama" เน้นความต่อเนื่องของดนตรี (ไม่มี Aria แยกชัดเจน) และการใช้ Leitmotif (แนวทำนองที่เชื่อมโยงกับตัวละครหรือแนวคิด)
    • ผลงานเด่น: Der Ring des Nibelungen (ชุดโอเปร่า 4 เรื่อง), Tristan und Isolde
  • Giuseppe Verdi (จูเซปเป แวร์ดี) (1813-1901):
    • นักประพันธ์โอเปร่าชาวอิตาลี ผู้เป็นสัญลักษณ์ของโอเปร่าอิตาเลียนในยุคโรแมนติก เน้นท่วงทำนองที่ไพเราะและพลังเสียง
    • ผลงานเด่น: La Traviata, Aida, Rigoletto, Otello
  • Giacomo Puccini (จาโคโม ปุชชินี) (1858-1924):
    • แม้จะคาบเกี่ยวกับยุคหลังโรแมนติก แต่ผลงานยังคงอยู่ในสไตล์โรแมนติก เน้นความสมจริงและอารมณ์ที่รุนแรง
    • ผลงานเด่น: La Bohème, Madame Butterfly, Tosca, Turandot

          ยุคโรแมนติกเป็นช่วงเวลาที่ดนตรีถูกปลดปล่อยจากข้อจำกัดทางรูปแบบ กลายเป็นสื่อกลางในการแสดงออกถึงอารมณ์ ความรู้สึก และจินตนาการได้อย่างไร้ขีดจำกัด ซึ่งส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อดนตรีในยุคต่อๆ มา

 

5.  Modern Period ( ค.ศ. 1900- ปัจจุบัน )

jazzband

          ยุค โมเดิร์น (Modern Period) ในประวัติศาสตร์ดนตรีตะวันตก กินเวลาตั้งแต่ประมาณ ค.ศ. 1900 จนถึงปัจจุบัน (บางครั้งอาจมีการแยกยุคย่อยเป็น Contemporary Period ในช่วงหลัง ค.ศ. 1945 หรือ 1950 ด้วย) เป็นยุคที่มีการเปลี่ยนแปลงและทดลองทางดนตรีอย่างรุนแรงและหลากหลายที่สุดยุคหนึ่ง ซึ่งสะท้อนถึงความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมของโลก

ลักษณะสำคัญของดนตรียุคโมเดิร์น

  • การทดลองและหลุดพ้นจากขนบเดิม (Experimentation and Breaking from Tradition): คีตกวีในยุคนี้ไม่ยึดติดกับกฎเกณฑ์ดนตรีที่เคยใช้มาในยุคก่อนๆ มีการทดลองใช้เสียงที่ไม่เคยใช้มาก่อน สร้างโครงสร้างใหม่ๆ และปฏิเสธแนวคิดเดิมๆ
  • ความไม่กลมกลืน (Dissonance): มีการใช้เสียงประสานที่ไม่กลมกลืน (Dissonance) อย่างจงใจและบ่อยครั้ง เพื่อสร้างความตึงเครียด ความแปลกใหม่ หรือสื่อถึงอารมณ์ที่ซับซ้อนและบางครั้งก็ขัดแย้ง
  • Atonality (การไร้ศูนย์กลางเสียง): เป็นแนวคิดที่ท้าทายระบบบันไดเสียงเมเจอร์/ไมเนอร์ที่เคยเป็นรากฐานของดนตรีตะวันตกมาหลายร้อยปี ดนตรีแบบ Atonal ไม่มีศูนย์กลางเสียง ไม่มีคีย์ที่แน่นอน ทำให้เกิดความรู้สึกอิสระ ไร้ทิศทาง หรือบางครั้งก็สับสน
  • Polytonality (พอลีโทนอลิตี้): การใช้บันไดเสียงมากกว่าหนึ่งบันไดเสียงพร้อมกันในเวลาเดียวกัน ทำให้เกิดเสียงประสานที่แปลกใหม่และซับซ้อน
  • Rhythm and Meter (จังหวะและอัตราจังหวะที่ซับซ้อน): มีการใช้จังหวะที่ซับซ้อน อัตราจังหวะที่เปลี่ยนไปมาบ่อยครั้ง (Changing Meters) การใช้ Polyrhythm (หลายจังหวะซ้อนกัน) หรือแม้แต่การไร้จังหวะ (Non-metrical)
  • Timbre and Tone Color (สีสันของเสียง): คีตกวีให้ความสำคัญกับสีสันและลักษณะเฉพาะของเสียงจากเครื่องดนตรีต่างๆ มีการทดลองใช้เทคนิคการเล่นแบบใหม่ๆ (Extended Techniques) เพื่อสร้างเสียงที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน
  • Minimalism (มินิมอลลิซึม): แนวเพลงที่ใช้แนวทำนองหรือโครงสร้างที่เรียบง่าย ซ้ำไปซ้ำมา โดยมีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยค่อยๆ พัฒนาไปเรื่อยๆ
  • Serialism / Twelve-Tone System (ซีเรียลลิซึม / ระบบ 12 เสียง): เป็นวิธีการประพันธ์ที่เข้มงวด โดยใช้โน้ตทั้ง 12 ตัวในบันไดเสียงโครมาติกเรียงเป็นลำดับ (Tone Row) เพื่อสร้างแนวทำนองและคอร์ด เพื่อหลีกเลี่ยงการมีศูนย์กลางเสียง (Atonality)
  • อิเล็กทรอนิกส์และเทคโนโลยี (Electronics and Technology): การพัฒนาของเทคโนโลยีไฟฟ้าและคอมพิวเตอร์ส่งผลกระทบอย่างมากต่อดนตรี ทำให้เกิดเพลงที่สร้างด้วยเครื่องสังเคราะห์เสียง (Synthesizers) คอมพิวเตอร์ หรือการใช้เสียงที่บันทึกไว้ (Tape Music, Musique Concrète)
  • ความหลากหลายของรูปแบบ (Diversity of Forms): ไม่มีรูปแบบที่ตายตัวตายตัวเหมือนยุคก่อนๆ คีตกวีอาจสร้างสรรค์รูปแบบใหม่ๆ หรือผสมผสานรูปแบบเดิมเข้ากับแนวคิดใหม่ๆ

รูปแบบดนตรีและแนวคิดที่สำคัญในยุคโมเดิร์น

  • Impressionism (อิมเพรสชันนิซึม): เน้นการสร้าง "ความรู้สึก" หรือ "ภาพ" ผ่านดนตรี ใช้ฮาร์โมนีที่ลอยตัว จังหวะที่ไม่ชัดเจน และสีสันของเสียง (Timbre) ที่งดงาม
  • Expressionism (เอ็กซ์เพรสชันนิซึม): เน้นการแสดงออกถึงอารมณ์ที่รุนแรง ความมืดมิด ความวิตกกังวล และจิตใต้สำนึก มักใช้ Atonality และ Dissonance
  • Neoclassicism (นีโอคลาสสิก): การนำเอาแนวคิด รูปแบบ หรือความชัดเจนของยุคคลาสสิกกลับมาใช้ใหม่ แต่มีการปรับเปลี่ยนด้วยภาษาดนตรีแบบโมเดิร์น (เช่น ความไม่กลมกลืน)
  • Aleatoric Music / Chance Music: ดนตรีที่กำหนดให้มีการสุ่มหรือความเป็นไปได้บางอย่างในการบรรเลง เช่น นักดนตรีเลือกเล่นลำดับโน้ตเอง
  • Musique Concrète: การนำเสียงที่บันทึกจากสิ่งแวดล้อมมาดัดแปลงและจัดเรียงเป็นบทเพลง
  • Electronic Music: เพลงที่สร้างสรรค์โดยใช้เครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์
  • Minimalism: ใช้แนวทำนองและจังหวะที่ซ้ำไปซ้ำมา โดยมีการเปลี่ยนแปลงทีละน้อย
  • Jazz: แม้จะเป็นรูปแบบดนตรีที่แยกออกมาต่างหาก แต่ก็มีอิทธิพลอย่างมากต่อดนตรีคลาสสิกในยุคโมเดิร์น โดยเฉพาะเรื่องจังหวะและการด้นสด

คีตกวีสำคัญในยุคโมเดิร์น

เนื่องจากยุคนี้ยาวนานและมีความหลากหลายมาก จึงมีคีตกวีจำนวนมหาศาลและหลายแนวทาง แต่มีบางท่านที่โดดเด่นและเป็นผู้บุกเบิก:

  • Claude Debussy (โคลด เดอบูซี) (1862-1918):
    • นักประพันธ์ชาวฝรั่งเศส ผู้บุกเบิกแนว Impressionism
    • ผลงานเด่น: Prélude à l'après-midi d'un faune, La Mer, เปียโนพรีลูด
  • Maurice Ravel (มอริส ราเวล) (1875-1937):
    • นักประพันธ์ชาวฝรั่งเศส มีสไตล์คล้าย Debussy แต่มีความชัดเจนและโครงสร้างที่ประณีตกว่า
    • ผลงานเด่น: Boléro, Daphnis et Chloé, Piano Concerto in G major
  • Arnold Schoenberg (อาร์โนลด์ เชินแบร์ก) (1874-1951):
    • นักประพันธ์ชาวออสเตรีย ผู้บุกเบิก Atonality และผู้คิดค้น Twelve-Tone System (ระบบ 12 เสียง)
    • ผลงานเด่น: Pierrot Lunaire, Variations for Orchestra
  • Igor Stravinsky (อีกอร์ สตราวินสกี) (1882-1971):
    • นักประพันธ์ชาวรัสเซียผู้ทรงอิทธิพลอย่างมหาศาล มีผลงานหลากหลายแนวทาง
    • ผลงานเด่น: บัลเลต์ The Rite of Spring, The Firebird, Petrushka (ในช่วงแรกที่ก้าวร้าวและเร้าใจ), Pulcinella (แนว Neoclassicism)
  • Béla Bartók (เบลา บาร์ต็อก) (1881-1945):
    • นักประพันธ์ชาวฮังการี ผู้ผสมผสานดนตรีพื้นบ้านของยุโรปตะวันออกเข้ากับภาษาดนตรีสมัยใหม่
    • ผลงานเด่น: Concerto for Orchestra, Mikrokosmos (สำหรับเปียโน), String Quartets
  • Sergei Prokofiev (เซียร์เกย์ โปรโกฟีฟ) (1891-1953):
    • นักประพันธ์ชาวรัสเซีย มีสไตล์ที่แข็งแกร่ง เต็มไปด้วยพลัง และบางครั้งก็เสียดสี
    • ผลงานเด่น: Peter and the Wolf, Romeo and Juliet (บัลเลต์), Piano Concertos
  • Dmitri Shostakovich (ดมีตรี ชอสตาโควิช) (1906-1975):
    • นักประพันธ์ชาวรัสเซีย ผู้เผชิญความท้าทายจากระบอบคอมมิวนิสต์ ผลงานมักแสดงออกถึงความขัดแย้ง ความโศกเศร้า และความเสียดสี
    • ผลงานเด่น: Symphony No. 5, Symphony No. 7 "Leningrad", String Quartets
  • John Cage (จอห์น เคจ) (1912-1992):
    • นักประพันธ์ชาวอเมริกัน ผู้บุกเบิก Aleatoric Music และการใช้เสียงที่ไม่ใช่ดนตรี
    • ผลงานเด่น: 4'33" (บทเพลงที่ไม่มีเสียงดนตรี มีเพียงเสียงจากสิ่งแวดล้อม), Prepared Piano Sonatas
  • Philip Glass (ฟิลิป กลาส) (1937-ปัจจุบัน):
    • นักประพันธ์ชาวอเมริกัน ผู้บุกเบิกแนว Minimalism
    • ผลงานเด่น: โอเปร่า Einstein on the Beach, เพลงประกอบภาพยนตร์

          ยุคโมเดิร์นจึงเป็นยุคที่มีความหลากหลายทางดนตรีอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน เป็นยุคที่ดนตรีสะท้อนความซับซ้อนและความเปลี่ยนแปลงของโลกได้อย่างแท้จริง และยังคงมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน

 

 

          ขนบธรรมเนียมประเพณีของแต่ละชาติ ศาสนา โดยเฉพาะทางดนตรีตะวันตก นับว่ามีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับศาสนามาก บทเพลงที่เกี่ยวกับศาสนาหรือเรียกว่าเพลงวัดนั้น ได้แต่งขึ้นอย่างถูกหลักเกณฑ์ ตามหลักวิชาการดนตรี ผู้แต่งเพลงวัดต้องมีความรู้ความสามารถสูง เพราะต้องแต่งขึ้นให้สามารถโน้มน้าวจิตใจผู้ฟังให้นิยมเลื่อมใสในศาสนามากขึ้น ดังนั้นบทเพลงสวดในศาสนาคริสต์จึงมีเสียงดนตรีประโคมประกอบการสวดมนต์ เมื่อมีบทเพลงเกี่ยวกับศาสนามากขึ้น เพื่อเป็นการป้องกันการลืมจึงได้มีผู้ประดิษฐ์สัญลักษณ์ต่างๆแทนทำนอง เมื่อประมาณ ค.ศ. 1000 สัญลักษณ์ดังกล่าวคือ ตัวโน้ต ( Note ) นั่นเอง โน้ตเพลงที่ใช้ในหลักวิชาดนตรีเบื้องต้นเป็นเสียงโด เร มี นั้น เป็นคำสวดในภาษาละติน จึงกล่าวได้ว่าวิชาดนตรีมีจุดกำเนิดมาจากวัดหรือศาสนา ซึ่งในยุโรปนั้นถือว่าเพลงเกี่ยวกับศาสนานั้นเป็นเพลงชั้นสูงสุด

 

          วงดนตรีที่เกิดขึ้นในศตวรรษต้นๆจนถึงปัจจุบัน จะมีลักษณะแตกต่างกันออกไป เครื่องดนตรีที่ใช้บรรเลงก็มีจำนวนและชนิดแตกต่างกันตามสมัยนิยม ลักษณะการผสมวงจะแตกต่างกันไป เมื่อผสมวงด้วยเครื่องดนตรีที่ต่างชนิดกัน หรือจำนวนของผู้บรรเลงที่ต่างกันก็จะมีชื่อเรียกวงดนตรีต่างกัน

 

ประเภทของเพลงดนตรี
เพลงประเภทต่างๆ แบ่งตามลักษณะของวงดนตรีได้ 6 ประเภท ดังนี้

เพลงที่บรรเลงโดยวงออร์เคสตร้า ( Orchestra )

orchrestra

          วงออร์เคสตรา (Orchestra) คือกลุ่มนักดนตรีจำนวนมากที่เล่นเครื่องดนตรีหลากหลายชนิดร่วมกัน เพื่อบรรเลงบทเพลง โดยทั่วไปมักจะเป็นดนตรีคลาสสิก

ลักษณะสำคัญของวงออร์เคสตรา
          ขนาด: มีตั้งแต่ขนาดเล็ก (chamber orchestra) ไปจนถึงขนาดใหญ่มาก (symphony orchestra หรือ philharmonic orchestra) ที่มีนักดนตรีกว่าร้อยคน
          เครื่องดนตรี: แบ่งออกเป็น 4 ตระกูลหลัก ๆ ได้แก่
          เครื่องสาย (Strings): ไวโอลิน (violin), วิโอลา (viola), เชลโล (cello), ดับเบิลเบส (double bass) เป็นหัวใจหลักของวง
          เครื่องลมไม้ (Woodwinds): ฟลูท (flute), โอโบ (oboe), คลาริเน็ต (clarinet), บาสซูน (bassoon)
          เครื่องลมทองเหลือง (Brass): เฟรนช์ฮอร์น (French horn), ทรัมเป็ต (trumpet), ทรอมโบน (trombone), ทูบา (tuba)
          เครื่องกระทบ (Percussion): กลองทิมปานี (timpani), ฉาบ (cymbals), กลองใหญ่ (bass drum), ไซโลโฟน (xylophone) และอื่น ๆ อีกมากมาย
          วาทยกร (Conductor): เป็นผู้ควบคุมวงทั้งหมด ทำหน้าที่ตีความบทเพลง กำหนดจังหวะ ความดังเบา และการแสดงอารมณ์ของเพลง
          บทเพลง: ส่วนใหญ่มักจะบรรเลงบทเพลงคลาสสิกประเภทซิมโฟนี (symphony), คอนแชร์โต (concerto), โอเปร่า (opera), บัลเลต์ (ballet) รวมถึงเพลงประกอบภาพยนตร์ (film score)

ประเภทของวงออร์เคสตรา (ตามขนาด):

          Chamber Orchestra: วงออร์เคสตราขนาดเล็ก มีนักดนตรีประมาณ 10-40 คน เหมาะสำหรับการแสดงในห้องโถงขนาดเล็กหรือเพลงที่ต้องการความละเอียดอ่อน
          Symphony Orchestra/Philharmonic Orchestra: วงออร์เคสตราขนาดใหญ่ มีนักดนตรีตั้งแต่ 60-100 คนขึ้นไป สามารถบรรเลงบทเพลงที่มีความยิ่งใหญ่และซับซ้อนได้
          วงออร์เคสตราถือเป็นรูปแบบการรวมกลุ่มนักดนตรีที่เก่าแก่และเป็นที่ยอมรับในโลกดนตรีคลาสสิก ซึ่งยังคงมีบทบาทสำคัญในการสร้างสรรค์และสืบทอดงานดนตรีอันทรงคุณค่ามาจนถึงปัจจุบัน

 

เพลงที่บรรเลงโดยวงแชมเบอร์มิวสิค ( Chamber Music )

chambermusic

          วงแชมเบอร์มิวสิค (Chamber Music) คือ วงดนตรีคลาสสิกขนาดเล็กที่เน้นการบรรเลงร่วมกันอย่างใกล้ชิดและโต้ตอบกันระหว่างนักดนตรีแต่ละคน ต่างจากวงออร์เคสตราที่มุ่งเน้นความยิ่งใหญ่ของเสียงและจำนวนนักดนตรี

ลักษณะสำคัญของวงแชมเบอร์มิวสิค:

  • ขนาดเล็ก: มีนักดนตรีจำนวนน้อย โดยทั่วไปจะอยู่ระหว่าง 2-9 คน (บางครั้งอาจถึง 10-12 คน แต่ไม่เกิน 30 คนหากเป็น "Chamber Orchestra")
  • หนึ่งผู้เล่นต่อหนึ่งเสียง (One Player Per Part): โดยปกติแล้ว แต่ละเครื่องดนตรีจะเล่นบทบาทที่แตกต่างกันไป ไม่ได้มีเครื่องดนตรีชนิดเดียวกันหลายชิ้นเล่นเสียงเดียวกันเหมือนในวงออร์เคสตรา ทำให้แต่ละเครื่องดนตรีมีความสำคัญและโดดเด่น
  • ความใกล้ชิดและการโต้ตอบ: การเล่นแชมเบอร์มิวสิคเปรียบเสมือนการสนทนาทางดนตรี นักดนตรีต้องฟังและตอบสนองกันอย่างใกล้ชิด มีการประสานงานและความเข้าใจระหว่างกันสูง
  • ไม่มีวาทยกร (No Conductor): โดยส่วนใหญ่แล้ว วงแชมเบอร์มิวสิคจะไม่มีวาทยกร นักดนตรีจะสื่อสารและนำพาวงไปด้วยกันเอง
  • เหมาะสำหรับสถานที่ขนาดเล็ก: เดิมที แชมเบอร์มิวสิคถูกประพันธ์ขึ้นเพื่อบรรเลงในห้องโถงเล็กๆ ของราชสำนักหรือคฤหาสน์ส่วนตัว (คำว่า "Chamber" หมายถึงห้อง) ทำให้เสียงดนตรีมีความละเอียดอ่อนและเข้าถึงผู้ฟังได้ง่ายขึ้น แม้ในปัจจุบันจะมีการแสดงในคอนเสิร์ตฮอลล์ที่ใหญ่ขึ้น แต่ก็ยังคงเน้นบรรยากาศที่ใกล้ชิด
  • เน้นความละเอียดอ่อนและเทคนิคเฉพาะบุคคล: บทเพลงแชมเบอร์มิวสิคมักจะเปิดโอกาสให้นักดนตรีแต่ละคนได้แสดงทักษะและเทคนิคเฉพาะตัวอย่างเต็มที่

เครื่องดนตรีที่นิยมใช้ในวงแชมเบอร์มิวสิค:

          เครื่องดนตรีที่นิยมนำมาผสมวงในแชมเบอร์มิวสิคมีหลากหลาย โดยเฉพาะกลุ่มเครื่องสาย เนื่องจากมีเสียงที่กลมกลืนกันได้ดี:

  • เครื่องสาย:

    • String Quartet (วงควอเต็ตเครื่องสาย): เป็นรูปแบบที่ได้รับความนิยมมากที่สุด ประกอบด้วย ไวโอลิน 2 คัน, วิโอลา 1 คัน และเชลโล 1 คัน
    • String Trio (วงทรีโอเครื่องสาย): ไวโอลิน, วิโอลา, เชลโล
    • Piano Trio (วงทรีโอเปียโน): เปียโน, ไวโอลิน, เชลโล
    • String Quintet (วงควินเต็ตเครื่องสาย): มักจะเพิ่มวิโอลาหรือดับเบิลเบสเข้ามาใน String Quartet
  • เครื่องลมไม้:

    • Woodwind Quintet (วงควินเต็ตเครื่องลมไม้): ฟลูท, โอโบ, คลาริเน็ต, เฟรนช์ฮอร์น, บาสซูน
    • Mixed Ensembles: การผสมผสานระหว่างเครื่องสายและเครื่องลมไม้ เช่น วง Octet ที่อาจประกอบด้วย ไวโอลิน, วิโอลา, เชลโล, ดับเบิลเบส, คลาริเน็ต, บาสซูน, ฮอร์น อย่างละ 1 คน
  • เครื่องลมทองเหลือง:

    • Brass Quintet (วงควินเต็ตเครื่องทองเหลือง): ทรัมเป็ต 2 คัน, เฟรนช์ฮอร์น, ทรอมโบน, ทูบา

การเรียกชื่อวงแชมเบอร์มิวสิคตามจำนวนผู้เล่น:

  • Duo/Duet (ดูโอ/ดูเอ็ต): 2 คน (เช่น ไวโอลินกับเปียโน)
  • Trio (ทรีโอ): 3 คน (เช่น Piano Trio)
  • Quartet (ควอเต็ต): 4 คน (เช่น String Quartet)
  • Quintet (ควินเต็ต): 5 คน (เช่น Woodwind Quintet, Brass Quintet)
  • Sextet (เซกซ์เต็ต): 6 คน
  • Septet (เซปเต็ต): 7 คน
  • Octet (ออกเต็ต): 8 คน
  • Nonet (โนเน็ต): 9 คน

          แชมเบอร์มิวสิคเป็นรูปแบบดนตรีที่ลึกซึ้งและมีความเป็นส่วนตัวสูง เปิดโอกาสให้นักดนตรีและผู้ฟังได้สัมผัสถึงแก่นแท้ของการสนทนาทางดนตรีอย่างแท้จริง

 

เพลง โซนาตา ( Sonata )

MusicHistory clip image002 0002

          เพลง โซนาตา (Sonata) เป็นรูปแบบประพันธ์ดนตรีคลาสสิกที่สำคัญและเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย โดยทั่วไปแล้วโซนาตาจะหมายถึงบทเพลงสำหรับ เครื่องดนตรีเดี่ยว (เช่น เปียโนโซนาตา) หรือ เครื่องดนตรีเดี่ยวกับเปียโน (เช่น ไวโอลินโซนาตา)

ลักษณะสำคัญของโซนาตา

  • โครงสร้างหลายท่อน: โซนาตาเกือบทั้งหมดจะประกอบด้วยเพลงย่อยๆ หลายท่อน (Movements) มักจะเป็น 3 หรือ 4 ท่อน แต่บางครั้งก็มีเพียง 2 ท่อน
  • รูปแบบโซนาตา (Sonata Form): ท่อนแรกของโซนาตาส่วนใหญ่ (และบ่อยครั้งที่ท่อนอื่นๆ ด้วย) จะใช้โครงสร้างที่เรียกว่า "โซนาตาฟอร์ม" ซึ่งมี 3 ส่วนหลัก:
    1. Exposition (นำเสนอ): นำเสนอแนวทำนองหลัก 2 แนวที่ต่างกัน (Theme 1 และ Theme 2) มักจะอยู่ในคีย์ที่ต่างกัน
    2. Development (พัฒนา): นำแนวทำนองจากส่วน Exposition มาพัฒนา ดัดแปลง เปลี่ยนคีย์ หรือผสมผสานกันอย่างสร้างสรรค์
    3. Recapitulation (ย้อนกลับ): นำแนวทำนองหลักทั้งสองกลับมาอีกครั้ง โดย Theme 2 จะกลับมาอยู่ในคีย์เดียวกับ Theme 1 เพื่อให้เพลงจบลงอย่างสมบูรณ์
  • ความหลากหลายของอารมณ์และจังหวะ: แต่ละท่อนของโซนาตามักจะมีความแตกต่างกันในด้านอารมณ์ จังหวะ และลักษณะการเล่น เช่น:
    • ท่อนที่ 1: มักจะเร็วและมีชีวิตชีวา (Allegro) ใช้โครงสร้างโซนาตาฟอร์ม
    • ท่อนที่ 2: มักจะช้าและไพเราะ (Adagio หรือ Andante) มีความเป็นบทเพลงที่ไพเราะและผ่อนคลาย
    • ท่อนที่ 3 (ถ้ามี 4 ท่อน): มักจะเป็น Minuet and Trio หรือ Scherzo ซึ่งเป็นเพลงที่มีจังหวะค่อนข้างเร็ว สนุกสนาน หรือร่าเริง
    • ท่อนที่ 4: มักจะเร็วและเต็มไปด้วยพลัง (Allegro หรือ Presto) อาจเป็นรูปแบบ Rondo หรือ Sonata Form ก็ได้

ประวัติโดยย่อของโซนาตา

คำว่า "Sonata" มาจากภาษาอิตาลี "sonare" ที่แปลว่า "เล่น" หรือ "บรรเลงด้วยเครื่องดนตรี" ซึ่งตรงข้ามกับ "Cantata" ที่แปลว่า "ร้อง" (มาจาก "cantare")

  • ยุคบาโรก (Baroque Era): ในช่วงแรก โซนาตาเป็นรูปแบบที่ค่อนข้างยืดหยุ่น มีทั้ง "sonata da chiesa" (โซนาตาสำหรับโบสถ์ มักไม่มีท่อนเต้นรำ) และ "sonata da camera" (โซนาตาสำหรับห้อง มักมีท่อนเต้นรำ)
  • ยุคคลาสสิก (Classical Era): เป็นยุคทองของโซนาตา นักประพันธ์อย่าง ไฮเดิน (Haydn), โมสาร์ท (Mozart) และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เบโทเฟน (Beethoven) ได้สร้างสรรค์โซนาตาขึ้นมามากมาย และทำให้โครงสร้างโซนาตาฟอร์มมีความชัดเจนและเป็นมาตรฐานมากขึ้น
  • ยุคโรแมนติก (Romantic Era) และหลังจากนั้น: โซนาตายังคงเป็นรูปแบบที่ได้รับความนิยม แต่มีความยืดหยุ่นมากขึ้นในการใช้โครงสร้าง และมีการเพิ่มความซับซ้อนทางอารมณ์และเทคนิคมากขึ้น

ตัวอย่างโซนาตาที่มีชื่อเสียง

  • Ludwig van Beethoven:
    • เปียโนโซนาตาหมายเลข 14 "Moonlight"
    • เปียโนโซนาตาหมายเลข 8 "Pathétique"
    • เปียโนโซนาตาหมายเลข 23 "Appassionata"
  • Wolfgang Amadeus Mozart:
    • เปียโนโซนาตาหมายเลข 11 "Rondo alla Turca"
  • Franz Schubert:
    • เปียโนโซนาตา D. 960
  • Johannes Brahms:
    • ไวโอลินโซนาตาหมายเลข 1

          โซนาตาเป็นรากฐานสำคัญของดนตรีคลาสสิกตะวันตก และยังคงเป็นรูปแบบที่นักดนตรีและนักประพันธ์เพลงให้ความสำคัญและศึกษามาจนถึงปัจจุบัน

 

 

โอราทอริโอ ( Oratorio ) และแคนตาตา ( Cantata)

MusicHistory clip image002 0003

          โอราทอริโอ (Oratorio) เป็นรูปแบบบทเพลงขนาดใหญ่สำหรับ นักร้องเดี่ยว (soloists), คณะนักร้องประสานเสียง (choir หรือ chorus) และ วงออร์เคสตรา (orchestra) โดยมีเนื้อเรื่องที่มักจะเกี่ยวข้องกับ ศาสนาคริสต์ โดยเฉพาะเรื่องราวจากพระคัมภีร์ไบเบิล

ลักษณะสำคัญของโอราทอริโอ

  • เรื่องราวทางศาสนา: หัวใจหลักของโอราทอริโอคือเนื้อเรื่องที่มักจะมาจากพระคัมภีร์ หรือชีวประวัติของนักบุญ ซึ่งแตกต่างจากโอเปร่าที่มักจะมีเนื้อหาที่หลากหลายกว่า ทั้งตำนานปรัมปรา ประวัติศาสตร์ หรือเรื่องราวความรัก
  • ไม่มีฉาก เครื่องแต่งกาย หรือการแสดง: นี่คือความแตกต่างที่ชัดเจนที่สุดจากโอเปร่า โอราทอริโอจะเน้นที่การเล่าเรื่องผ่านดนตรีและการร้องเป็นหลัก โดยไม่มีการจัดฉากที่ซับซ้อน ไม่มีนักแสดงที่สวมเครื่องแต่งกายพิเศษ หรือมีการแสดงท่าทางบนเวทีเหมือนละครเวที
  • องค์ประกอบทางดนตรี: โอราทอริโอประกอบด้วยส่วนสำคัญต่างๆ คล้ายโอเปร่า ได้แก่:
    • โอเวอร์เชอร์ (Overture): บทเพลงบรรเลงโดยวงออร์เคสตราในช่วงเริ่มต้น
    • เรซีทาทีฟ (Recitative): การร้องที่คล้ายการพูด มักใช้ในการดำเนินเรื่องและบรรยายเหตุการณ์
    • อาเรีย (Aria): บทเพลงที่นักร้องเดี่ยวแสดงอารมณ์ความรู้สึกอย่างลึกซึ้ง มักมีท่วงทำนองที่ไพเราะและซับซ้อน
    • คอรัส (Chorus): บทบาทสำคัญของโอราทอริโอคือการขับร้องประสานเสียงของคณะนักร้อง ซึ่งมักจะแสดงถึงความคิดเห็นของฝูงชน อารมณ์ร่วม หรือบทสรุปทางศีลธรรม
    • เพลงบรรเลงแทรก (Instrumental Interludes): บางครั้งก็มีเพลงบรรเลงสั้นๆ ระหว่างส่วนต่างๆ
  • การแสดงในโบสถ์หรือหอประชุม: เนื่องจากเนื้อหาและลักษณะการแสดงที่ไม่มีฉาก โอราทอริโอจึงมักจะถูกแสดงในโบสถ์หรือหอประชุมคอนเสิร์ต

ประวัติโดยย่อ

          โอราทอริโอถือกำเนิดขึ้นในประเทศอิตาลีในราวศตวรรษที่ 16 โดยมีที่มาจากกลุ่มนักดนตรีและนักบวชที่รวมตัวกันในห้องโถงของโบสถ์ (เรียกว่า "Oratory" หรือ "Oratorio" ในภาษาอิตาลี) เพื่อจัดการแสดงดนตรีที่มีเนื้อหาทางศาสนา โดยมีเป้าหมายเพื่อการสั่งสอนและยกระดับจิตใจของผู้ฟัง

          ในช่วงยุคบาโรก (ประมาณ ค.ศ. 1600-1750) โอราทอริโอได้รับความนิยมอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผลงานของคีตกวีเช่น จอร์จ ฟรีดริก แฮนเดล (George Frideric Handel) ซึ่งโอราทอริโอที่มีชื่อเสียงที่สุดของเขาคือ "Messiah" (เมสไซยาห์) ที่มีบทเพลง "Hallelujah Chorus" อันโด่งดัง

          ในยุคคลาสสิกและโรแมนติก โอราทอริโอก็ยังคงมีการประพันธ์อยู่ โดยคีตกวีเช่น โยเซฟ ไฮเดิน (Joseph Haydn) มีผลงานที่สำคัญคือ "The Creation" (เดอะ ครีเอชั่น) และ เฟลิกซ์ เมนเดลโซห์น (Felix Mendelssohn) กับ "Elijah" (อีไลจาห์)

ความแตกต่างระหว่างโอราทอริโอกับโอเปร่า

          แม้ว่าโอราทอริโอและโอเปร่าจะมีองค์ประกอบทางดนตรีหลายอย่างที่คล้ายกัน เช่น มีนักร้องเดี่ยว คณะนักร้องประสานเสียง และวงออร์เคสตรา แต่ความแตกต่างที่สำคัญคือ:

คุณสมบัติ โอราทอริโอ (Oratorio) โอเปร่า (Opera)
เนื้อหา ส่วนใหญ่เป็นเรื่องราวทางศาสนาจากพระคัมภีร์ หลากหลาย ทั้งตำนาน, ประวัติศาสตร์, ความรัก, ตลก
การแสดง ไม่มีฉาก, เครื่องแต่งกาย, การแสดงท่าทาง มีฉาก, เครื่องแต่งกาย, การแสดงละครเต็มรูปแบบ
บทบาทนักร้องประสานเสียง มีบทบาทสำคัญและโดดเด่นมาก อาจมีบทบาทสำคัญ แต่ไม่เด่นเท่าโอราทอริโอ
สถานที่แสดง โบสถ์, หอประชุมคอนเสิร์ต โรงละครโอเปร่า

          โอราทอริโอเป็นรูปแบบดนตรีที่ทรงพลังและลึกซึ้ง โดยเน้นที่การถ่ายทอดอารมณ์และเรื่องราวผ่านพลังเสียงของนักร้องและวงออร์เคสตรา ถือเป็นหนึ่งในรากฐานสำคัญของดนตรีคลาสสิกแบบตะวันตก

 

โอเปรา ( Opera )

opera

          โอเปร่า (Opera) คือ รูปแบบการแสดงละครดนตรีที่ผู้แสดงใช้การขับร้องเป็นหลักในการสื่อสารบทบาทและดำเนินเรื่องราว โดยมีองค์ประกอบของการแสดงบนเวทีอย่างครบครัน ทั้งการร้อง การแสดง การจัดฉาก เครื่องแต่งกาย แสง สี เสียง และวงดนตรีประกอบ 

ลักษณะสำคัญของโอเปร่า

  • ละครที่ร้อง (Drama Sung): หัวใจหลักของโอเปร่าคือการที่บทสนทนาและอารมณ์ทั้งหมดถูกถ่ายทอดออกมาผ่านการขับร้อง ไม่ใช่การพูดเหมือนละครเวทีทั่วไป
  • องค์ประกอบศิลปะที่หลากหลาย: โอเปร่าเป็นการผสมผสานศิลปะหลายแขนงเข้าด้วยกัน ได้แก่:
    • ดนตรี (Music): บทบาทสำคัญที่สุด ประกอบด้วยบทเพลงสำหรับนักร้องเดี่ยว (Arias), เพลงร้องคู่ (Duets), เพลงร้องรวม (Ensembles), คณะนักร้องประสานเสียง (Chorus) และเพลงบรรเลงโดยวงออร์เคสตรา (Overture, Interludes)
    • การร้อง (Singing): นักร้องโอเปร่าต้องมีทักษะการร้องเพลงคลาสสิกที่ยอดเยี่ยม สามารถใช้เสียงที่ทรงพลังและมีเทคนิคเพื่อถ่ายทอดอารมณ์และบทบาท
    • การแสดง (Acting): ผู้แสดงต้องมีความสามารถในการแสดงบทบาทที่น่าเชื่อถือ
    • ลิเบรตโต (Libretto): คือบทประพันธ์หรือเนื้อเรื่องของโอเปร่า ซึ่งอาจเป็นเรื่องราวต้นฉบับ หรือดัดแปลงมาจากวรรณกรรม นิยาย หรือตำนาน
    • การจัดฉาก (Scenography): ฉากหลังที่สวยงามและเหมาะสมกับยุคสมัยและเนื้อเรื่อง
    • เครื่องแต่งกาย (Costumes): ออกแบบอย่างวิจิตรบรรจงเพื่อสะท้อนยุคสมัย ตัวละคร และอารมณ์ของเรื่อง
    • แสง สี (Lighting): ใช้เพื่อสร้างบรรยากาศและเน้นอารมณ์
    • การกำกับ (Directing): ผู้กำกับมีบทบาทสำคัญในการควบคุมและสร้างสรรค์การแสดงทั้งหมด
  • วงออร์เคสตรา (Orchestra): มักจะอยู่ด้านหน้าเวทีในหลุมออร์เคสตรา (Orchestra Pit) ทำหน้าที่บรรเลงดนตรีประกอบตลอดทั้งเรื่อง และมีวาทยกร (Conductor) เป็นผู้ควบคุมวงและนักร้อง
  • เนื้อหาหลากหลาย: โอเปร่ามีเนื้อเรื่องที่หลากหลาย ตั้งแต่ตำนานปรัมปรา ประวัติศาสตร์ วรรณกรรมคลาสสิก เรื่องราวความรัก โศกนาฏกรรม ตลกขบขัน หรือแม้แต่เรื่องราวทางสังคม

องค์ประกอบทางดนตรีที่สำคัญในโอเปร่า

  • โอเวอร์เชอร์ (Overture): บทเพลงบรรเลงโดยวงออร์เคสตราในช่วงเริ่มต้นของโอเปร่า ทำหน้าที่แนะนำอารมณ์และแนวทำนองหลักๆ ของเรื่อง
  • เรซีทาทีฟ (Recitative): การร้องที่คล้ายการพูด มักใช้ในการดำเนินเรื่องราว บทสนทนา และการอธิบายเหตุการณ์ต่างๆ เป็นส่วนที่เน้นเนื้อหามากกว่าท่วงทำนอง
  • อาเรีย (Aria): บทเพลงสำหรับนักร้องเดี่ยวที่แสดงอารมณ์ความรู้สึกของตัวละครอย่างลึกซึ้ง มักมีท่วงทำนองที่ไพเราะและแสดงทักษะการร้องของนักร้องได้อย่างเต็มที่ เป็นส่วนที่ผู้ฟังมักจะจดจำได้
  • ดูเอ็ต (Duet) / ทรีโอ (Trio) / ควอร์เต็ต (Quartet) / ฯลฯ: บทเพลงที่นักร้องสองคนขึ้นไปร้องประสานเสียงกัน แสดงปฏิสัมพันธ์หรืออารมณ์ที่หลากหลายของตัวละครหลายตัวพร้อมกัน
  • คอรัส (Chorus): การขับร้องของคณะนักร้องประสานเสียง มักจะแสดงถึงบทบาทของฝูงชน ชาวเมือง หรือกลุ่มตัวละครที่มีอารมณ์ร่วมกัน

ประเภทของโอเปร่า

  • โอเปร่า ซีเรีย (Opera Seria): โอเปร่าแบบโศกนาฏกรรม เน้นเรื่องราวของวีรบุรุษ เทพเจ้า หรือกษัตริย์ มักมีเนื้อหาจริงจังและเศร้า
  • โอเปร่า บัฟฟา (Opera Buffa): โอเปร่าแบบตลกขบขัน เน้นเรื่องราวชีวิตประจำวันของคนทั่วไป มีบทพูดตลก และจังหวะที่รวดเร็ว
  • ออเปร่า กอมิก (Opéra Comique): โอเปร่าฝรั่งเศสที่มีส่วนที่เป็นบทพูดแทรกอยู่
  • ซิงชปีล (Singspiel): โอเปร่าเยอรมันที่มีส่วนที่เป็นบทพูดแทรกอยู่
  • แกรนด์โอเปร่า (Grand Opera): โอเปร่าฝรั่งเศสขนาดใหญ่ เน้นความอลังการของฉาก นักแสดง และดนตรี
  • ออเปเร็ตต้า (Operetta): โอเปร่าขนาดเล็กที่มีเนื้อหาเบาสมองกว่า มักมีบทพูด และเพลงที่ติดหู

ประวัติโดยย่อ

          โอเปร่าถือกำเนิดขึ้นในประเทศอิตาลีในปลายศตวรรษที่ 16 โดยกลุ่มนักประพันธ์และนักปราชญ์ในเมืองฟลอเรนซ์ที่ต้องการรื้อฟื้นรูปแบบละครกรีกโบราณที่เชื่อว่ามีการขับร้องด้วย

  • ยุคบาโรก: โอเปร่าเริ่มเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลาย คีตกวีเช่น มอนเตแวร์ดี (Monteverdi) และ แฮนเดล (Handel) ได้สร้างสรรค์ผลงานสำคัญมากมาย
  • ยุคคลาสสิก: โมสาร์ท (Mozart) ได้ยกระดับโอเปร่าให้มีความซับซ้อนทางดนตรีและจิตวิทยาของตัวละคร เช่น The Marriage of Figaro, Don Giovanni, The Magic Flute
  • ยุคโรแมนติก: เป็นยุคทองของโอเปร่า คีตกวีเช่น แวร์ดี (Verdi), พุชชินี (Puccini) จากอิตาลี และ วากเนอร์ (Wagner) จากเยอรมนี ได้สร้างสรรค์ผลงานชิ้นเอกที่ยังคงเป็นที่นิยมมาจนถึงปัจจุบัน เช่น La Traviata, Aida, Madame Butterfly, Turandot (พุชชินี), และ Der Ring des Nibelungen (วากเนอร์)

          โอเปร่าเป็นศิลปะที่ยิ่งใหญ่และซับซ้อน เป็นการผสมผสานความงามของดนตรี การแสดง และงานสร้างสรรค์บนเวทีเข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว

 

เพลงที่ขับร้องโดยทั่วไป

AJfQ9KSiA0i4INBZBDHgxACcrU9ci9rt

          เพลงที่ขับร้องโดยทั่วไปนั้นมีหลากหลายประเภทมาก ขึ้นอยู่กับบริบทและวัฒนธรรม แต่ถ้าจะแบ่งตามลักษณะการนำเสนอและการใช้เสียงร้องเป็นหลัก เราสามารถแบ่งกว้างๆ ได้ดังนี้ครับ:

1. เพลงป๊อป (Pop Music)

          เป็นเพลงที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย เข้าถึงง่าย มีท่วงทำนองที่ติดหู เน้นเนื้อเพลงที่เข้าใจง่ายและเป็นเรื่องใกล้ตัว มักมีการเรียบเรียงดนตรีที่ทันสมัย และมักจะมีการใช้เสียงร้องที่ชัดเจนและหลากหลายเทคนิค เพื่อสร้างความน่าสนใจให้กับเพลง

  • ตัวอย่าง: เพลงฮิตติดชาร์ตตามวิทยุหรือแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งต่างๆ
  • ลักษณะเสียงร้อง: มีความยืดหยุ่นสูง ใช้ได้ทั้งเสียงหลักที่ชัดเจน เสียงหลบ (falsetto) หรือการแผดเสียง (belting) ขึ้นอยู่กับสไตล์เพลง

2. เพลงร็อก (Rock Music)

          มีหลากหลายแนวทางย่อย แต่โดยรวมแล้วเน้นดนตรีที่หนักแน่น มีพลัง ใช้กีตาร์ไฟฟ้าเป็นหลัก และมักมีเนื้อหาที่สะท้อนอารมณ์ที่รุนแรง ความขบถ หรือเรื่องราวทางสังคม

  • ตัวอย่าง: Classic Rock, Hard Rock, Alternative Rock
  • ลักษณะเสียงร้อง: มักจะใช้เสียงที่มีพลัง เสียงแหบ (raspy voice) หรือการตะโกน (screaming) เพื่อสื่อถึงอารมณ์ที่เข้มข้น

3. เพลงอาร์แอนด์บี/โซล (R&B/Soul Music)

          เป็นเพลงที่เน้นความนุ่มนวล ความพลิ้วไหวของเสียงร้อง การใช้ลูกเล่น (melisma) และการถ่ายทอดอารมณ์ที่ลึกซึ้งผ่านเทคนิคการร้องที่ซับซ้อน มักมีเนื้อหาเกี่ยวกับความรัก ความสัมพันธ์ หรือการสะท้อนชีวิต

  • ตัวอย่าง: เพลงของ Whitney Houston, Mariah Carey, John Legend
  • ลักษณะเสียงร้อง: เน้นการใช้เสียงที่นุ่มนวลแต่ทรงพลัง การควบคุมลมหายใจ การใช้ลูกคอ และการพลิ้วเสียงอย่างมีชั้นเชิง

4. เพลงลูกทุ่ง/ลูกกรุง (Thai Country/Thai Classic Pop)

          เพลงไทยที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ลูกทุ่งเน้นเนื้อหาที่สะท้อนวิถีชีวิตชนบท ความรัก ความผิดหวัง และมักมีภาษาเพลงที่ตรงไปตรงมา ส่วนลูกกรุงจะมีความสุภาพ ประณีต และใช้ภาษาที่สละสลวยกว่า มักมีเนื้อหาเกี่ยวกับความรัก ความงาม หรือความทรงจำ

  • ตัวอย่าง: เพลงของพุ่มพวง ดวงจันทร์ (ลูกทุ่ง), เพลงของสุนทราภรณ์ (ลูกกรุง)
  • ลักษณะเสียงร้อง: ทั้งสองแนวมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว โดยเฉพาะลูกทุ่งมักเน้นเสียงที่เอื้อนเอ่ยยาวๆ และใส่อารมณ์ได้อย่างเต็มที่

5. เพลงคลาสสิก (Classical Music)

          แม้จะไม่ได้เน้นเสียงร้องเท่าเครื่องดนตรี แต่ก็มีเพลงคลาสสิกที่ใช้เสียงร้องเป็นหลัก เช่น โอเปร่า (Opera), ออราทอริโอ (Oratorio), เพลงประสานเสียง (Choral Music) หรือ เพลงขับร้องเดี่ยว (Art Song/Lieder) ซึ่งเน้นความถูกต้องทางเทคนิค การถ่ายทอดอารมณ์ และการตีความบทประพันธ์

  • ตัวอย่าง: Aria จากโอเปร่าต่างๆ, เพลงของ Schubert, บทเพลงประสานเสียงของ Bach
  • ลักษณะเสียงร้อง: เน้นการควบคุมเสียงและเทคนิคการร้องที่สูงมาก เสียงร้องต้องมีความกังวาน พลัง และสามารถแสดงอารมณ์ได้หลากหลายมิติ

6. เพลงแจ๊ส (Jazz Music)

          เพลงที่เน้นการด้นสด (improvisation) ความซับซ้อนของคอร์ด และจังหวะที่ซิงโคเพต (syncopated rhythm) เสียงร้องในเพลงแจ๊สมีความยืดหยุ่นและเป็นอิสระสูง มักมีการใช้เทคนิค Scat Singing (การร้องเลียนแบบเครื่องดนตรีด้วยเสียงที่ไม่มีความหมาย)

  • ตัวอย่าง: เพลงของ Ella Fitzgerald, Frank Sinatra
  • ลักษณะเสียงร้อง: มีความพลิ้วไหว เน้นการแสดงออกที่เป็นส่วนตัว การด้นสดด้วยเสียง และการควบคุมโทนเสียงที่หลากหลาย

          นอกจากนี้ยังมีแนวเพลงที่ใช้เสียงร้องอีกมากมาย เช่น ฮิปฮอป (Hip-Hop) ที่เน้นการแร็ป (Rap), โฟล์ค (Folk) ที่เน้นการเล่าเรื่อง, คันทรี่ (Country) ที่มีเนื้อหาเฉพาะถิ่น หรือแม้แต่เพลงพื้นบ้านต่างๆ ทั่วโลก

 

แหล่งอ้างอิง
          - A History of Western Music by J. Peter Burkholder, Donald Jay Grout, and Claude V. Palisca
          - Music in Western Civilization by Paul Henry Lang
          - The Oxford History of Western Music by Richard Taruskin
          - Music: An Appreciation by Roger Kamien
          - Music in the Baroque Era by Manfred F. Bukofzer
          - ดนตรีตะวันตก : ยุคกลางและยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการ โดย ศศี พงศ์สรายุทธ
          - ดนตรีตะวันตก : ยุคบาโรกและยุคคลาสสิก โดย ศศี พงศ์สรายุทธ
          - Online Databases & Encyclopedias
          - The New Grove Dictionary of Music and Musicians
          - Wikipedia