เครื่องกระทบ (Percussion Instruments)
เครื่องกระทบ (Percussion Instruments) คือเครื่องดนตรีที่ทำให้เกิดเสียงโดยการตี การกระทบ การสั่น การเขย่า การเคาะ หรือการขูด โดยใช้วัสดุแข็งอย่างหนึ่งไปกระทบกับอีกสิ่งหนึ่ง เครื่องดนตรีประเภทนี้มักจะทำจากวัสดุหลากหลายชนิด เช่น โลหะ ไม้ หรือแผ่นหนังขึงตึง
เครื่องกระทบนับเป็นกลุ่มเครื่องดนตรีที่มีความหลากหลายมากที่สุดในโลก และมีบทบาทสำคัญในการให้จังหวะ สีสัน และเพิ่มความตื่นเต้นให้กับดนตรีในทุกวัฒนธรรม
การแบ่งประเภทของเครื่องกระทบ
เครื่องกระทบสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลักๆ ตามความสามารถในการสร้างระดับเสียง:
เครื่องกระทบที่มีระดับเสียงที่แน่นอน (Definite Pitch Instruments)
เครื่องดนตรีกลุ่มนี้สามารถเล่นทำนองเพลงได้ เนื่องจากมีระดับเสียงสูง-ต่ำที่แน่นอนเหมือนกับเครื่องดนตรีประเภทอื่นๆ เสียงที่ออกมาจะแตกต่างกันไปตามขนาดของตัวเครื่องหรือแท่งเสียง
ตัวอย่างเครื่องกระทบสากลที่มีระดับเสียงแน่นอน
ไซโลโฟน (Xylophone)
ไซโลโฟน (Xylophone) ระนาดไม้ขนาดเล็ก ลูกระนาดทำจากไม้เนื้อแข็ง ใต้ลูกระนาดมีท่อโลหะสำหรับขยายเสียง เสียงจะสดใสและสั้น
มาริมบา (Marimba)
มาริมบา (Marimba) ระนาดไม้ขนาดใหญ่กว่าไซโลโฟน ลูกระนาดทำจากไม้เนื้อดี (เช่น โรสวู้ด) ให้เสียงที่ทุ้ม นุ่มนวล และกังวานกว่าไซโลโฟน
ไวบราโฟน (Vibraphone)
ไวบราโฟน (Vibraphone) ระนาดโลหะขนาดใหญ่ ใต้ลูกระนาดมีท่อโลหะและมีแกนใบพัดเล็กๆ ที่หมุนด้วยมอเตอร์ ทำให้เกิดเสียงสั่นรัวหรือ "ไวบราโต"
กล็อคเคนสปีล (Glockenspiel)
กล็อคเคนสปีล (Glockenspiel) ระนาดโลหะขนาดเล็ก ลูกระนาดเป็นแผ่นเหล็ก ให้เสียงที่ใสกังวานคล้ายระฆังเล็กๆ
ระฆังราว (Tubular Bells / Chimes)
ระฆังราว (Tubular Bells / Chimes) ท่อโลหะที่แขวนเรียงตามลำดับเสียงต่ำไปสูง ใช้ไม้ตีที่ปลายท่อ ให้เสียงคล้ายระฆังจริง
กลองทิมปานี (Timpani)
กลองทิมปานี (Timpani) กลองขนาดใหญ่ที่สามารถปรับความตึงของหนังหน้ากลองเพื่อเปลี่ยนระดับเสียงได้ เป็นกลองที่มีระดับเสียงแน่นอนเพียงไม่กี่ชนิด
เครื่องกระทบที่ไม่มีระดับเสียงที่แน่นอน (Indefinite Pitch Instruments):
เครื่องดนตรีกลุ่มนี้ใช้สำหรับให้จังหวะและสร้างสีสันให้กับเพลงเป็นหลัก ไม่สามารถเล่นทำนองที่มีระดับเสียงตายตัวได้ แต่เสียงที่ออกมาจะขึ้นอยู่กับแรงในการตีและวิธีการตี
ตัวอย่างเครื่องกระทบสากลที่ไม่มีระดับเสียงแน่นอน:
กลองใหญ่ (Bass Drum)
กลองใหญ่ (Bass Drum) กลองขนาดใหญ่ ให้เสียงทุ้มลึก ใช้ให้จังหวะเน้น
กลองสแนร์ (Snare Drum)
กลองสแนร์ (Snare Drum) กลองขนาดเล็ก มีสายสแนร์ที่อยู่ด้านล่างของหนังกลอง ทำให้เกิดเสียงสแนร์ที่คมชัด
ฉาบ (Cymbals)
ฉาบ (Cymbals) แผ่นโลหะกลม ใช้ตีประกบกัน หรือใช้ไม้ตีแบบแขวน ให้เสียงดังกังวานหรือเสียงแตก
ไฮ-แฮท (Hi-Hat)
ไฮ-แฮท (Hi-Hat) ฉาบสองใบประกบกัน ติดตั้งบนขาตั้ง มีแป้นเหยียบสำหรับเปิด-ปิดฉาบ ใช้ให้จังหวะย่อย
แทมบูริน (Tambourine)
แทมบูริน (Tambourine) ขอบกลมมีแผ่นโลหะหรือลูกกระพรวนรอบขอบ ใช้เขย่าหรือตีกระทบกับฝ่ามือ
ไทรแองเกิล (Triangle)
ไทรแองเกิล (Triangle) แท่งโลหะดัดเป็นรูปสามเหลี่ยม ใช้ไม้ตี ให้เสียงใส กังวาน
มาราคาส (Maracas)
มาราคาส (Maracas) ลูกเขย่า มักทำจากผลน้ำเต้าแห้งหรือพลาสติก ภายในมีเมล็ดหรือลูกปัด ใช้เขย่าให้เกิดเสียงซ่าๆ
บองโก (Bongos)
บองโก (Bongos) กลองคู่ขนาดเล็ก นิยมใช้ในดนตรีละติน
คองกา (Congas)
คองกา (Congas) กลองทรงสูง นิยมใช้ในดนตรีละติน
คาวเบลล์ (Cowbell)
คาวเบลล์ (Cowbell) กระดิ่งโลหะ ใช้ตีให้เกิดเสียงที่คมชัด
กรับสเปน (Castanets)
กรับสเปน (Castanets) ไม้กระทบเป็นคู่ มีเสียงแหลม
กลองชุด (Drum Set)
กลองชุด (Drum Set) เป็นการรวมเครื่องกระทบหลายชิ้นเข้าด้วยกันสำหรับผู้เล่นคนเดียว (กลองสแนร์, กลองใหญ่, กลองทอม, ฉาบ, ไฮ-แฮท ฯลฯ)
เครื่องลิ่มนิ้ว ( Keyboard Instruments)
เครื่องดนตรีในยุคนี้ มักนิยมเรียกทับศัพท์ในภาษาอังกฤษว่า “ เครื่องดนตรีประเภทคีย์บอร์ด ” ลักษณะเด่นของเครื่องดนตรีที่อยู่ในกลุ่มนี้ก็คือ มีลิ่มนิ้วสำหรับกด เพื่อเปลี่ยนระดับเสียงดนตรี ลิ่มนิ้วสำหรับกดนั้นนิยมเรียกว่า “ คีย์ ” (Key) เครื่องดนตรีแต่ละชนิดมีจำนวนคีย์ไม่เท่ากัน โดยปกติสีของคีย์เป็นขาวหรือดำ คีย์สีดำโผล่ขึ้นมากกว่าคีย์สีขาว
การเกิดเสียง ของเครื่องดนตรีในกลุ่มนี้มีหลายลักษณะ เปียโน ฮาร์ปซิคอร์ด คลาวิคอร์ด เกิดเสียง โดยการกดคีย์ที่ต้องการ แล้วคีย์นั้นจะส่งแรงไปที่กลไกต่างๆ ภายในเครื่องเพื่อที่จะทำให้สายโลหะที่ขึงตึงสั่นสะเทือน ทำให้เกิดเสียงให้ดังขึ้น เครื่องดนตรีประเภทคีย์บอร์ดบางชนิดให้ลมผ่านไปยังลิ้นโลหะให้สั่นสะเทือน ทำให้เกิดเสียงดังขึ้น เครื่องดนตรีประเภทคีย์บอร์ดบางชนิดให้ลมผ่านไปยังลิ้นโลหะให้สั่นสะเทือนทำให้เกิดเสียง ในปัจจุบันไม่นิยมใช้แล้วจะมีบางเป็นบางโอกาส
ในปัจจุบัน เครื่องดนตรีประเภทคีย์บอร์ดที่เกิดเสียงโดยใช้วงจรอิเล็คทรอนิกส์ ไดรับความนิยมมาก เพราะสามารถเลียนแบบเสียงเครื่องดนตรีต่างๆ ได้หลายชนิด ซึ่งได้พัฒนามาจากออร์แกนไฟฟ้านั่นเอง มีชื่อเรียกหลายชื่อ แต่ละชื่อมีลักษณะแตกต่างกันออกไป เช่น เครื่องสตริง ( String Machine) คือ เครื่องประเภทคีย์บอร์ด ทีเลียนเสียงเครื่องดนตรีในตระกูลไวโอลินทุกชนิด อิเล็คโทน คือ เครื่องดนตรีประเภทคีย์บอร์ดที่มีจังหวะในตัว สามารถบรรเลงเพลงต่างๆ ได้ด้วยนักดนตรีเพียงคนเดียว
ในยุคของ คอมพิวเตอร์ เครื่องดนตรีประเภทคีย์บอร์ดได้วิวัฒนาการไปมาก เสียงต่างๆ มีมากขึ้น นอกจากเสียงดนตรีแล้วยังมีเสียงเอฟเฟ็คต์ ( Effect) ต่างๆ ให้เลือกใช้มาก เสียงต่างๆ เหล่านี้เป็นเสียงที่สังเคราะห์ขึ้นมาด้วยระบบ อิเล็คทรอนิกส์ ดังนั้นเครื่องดนตรีประเภทนี้จึงถูกเรียกว่า “ ซินธีไซเซอร์ ” (Synthesizer)
ตัวอย่างเครื่องดนตรีที่จัดอยู่ในกลุ่มเครื่องลิ่มนิ้ว ได้แก่
แกรนด์เปียโน (Grand Piano)
แกรนด์เปียโน (Grand Piano) คือเปียโนอะคูสติกขนาดใหญ่ที่มีลักษณะโดดเด่นด้วยสายเปียโนที่จัดวางในแนวนอนภายในตัวเครื่องรูปทรงปีกนก โดยทั่วไปจะตั้งอยู่บนสามขา แกรนด์เปียโนได้รับการยกย่องอย่างกว้างขวางว่าเป็น "มาตรฐานทองคำ" ในการแสดงเปียโน เนื่องจากมีคุณภาพเสียงที่เหนือกว่า ช่วงไดนามิกที่กว้าง และการตอบสนองที่ยอดเยี่ยม
ทำไมแกรนด์เปียโนถึงพิเศษ
คุณภาพเสียงที่เหนือกว่า: แกรนด์เปียโนมักจะให้เสียงที่กังวาน นุ่มนวล และมีมิติมากกว่าเปียโนประเภทอื่น ๆ (เช่น เปียโน upright) ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลมาจากสายที่ยาวกว่าและแผงเสียง (soundboard) ที่ใหญ่กว่า ทำให้เกิดการสั่นสะเทือนของเสียงได้มากขึ้นและส่งเสียงได้ดีขึ้น
กลไกการตีสายแนวนอน: หัวค้อนในแกรนด์เปียโนจะดีดกลับด้วยแรงโน้มถ่วงหลังจากตีสาย ซึ่งกลไกการทำงานในแนวนอนนี้ช่วยให้กดคีย์ซ้ำได้เร็วขึ้นและควบคุมเสียงได้อย่างละเอียดอ่อนมากขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญสำหรับนักเปียโนมืออาชีพ ในทางตรงกันข้าม เปียโน upright มีกลไกการตีสายในแนวตั้งซึ่งต้องใช้กลไกเพิ่มเติมในการดึงหัวค้อนกลับ ทำให้การกดซ้ำอย่างรวดเร็วทำได้ยากกว่า
ความสวยงาม: แกรนด์เปียโนมักถูกมองว่าเป็นสัญลักษณ์ของความหรูหราและคุณภาพ การออกแบบที่หรูหราและขนาดที่น่าประทับใจทำให้เป็นจุดเด่นในทุกห้อง เพิ่มความสง่างามและความสวยงาม
ความทนทาน: แกรนด์เปียโนมักผลิตจากวัสดุคุณภาพสูงและงานฝีมือประณีต ทำให้มีความทนทานและสามารถใช้งานได้อย่างยาวนาน
ประเภทของแกรนด์เปียโน (ตามขนาด)
แกรนด์เปียโนมีหลายขนาด โดยทั่วไปวัดความยาวจากด้านหน้าของคีย์ไปจนถึงส่วนท้ายของตัวเครื่อง ขนาดมีผลอย่างมากต่อคุณภาพเสียงและเสียงก้องกังวาน
Petite Grand: แกรนด์เปียโนที่เล็กที่สุด โดยทั่วไปยาวไม่เกิน 5 ฟุต 5 นิ้ว มักพบในบ้านที่มีพื้นที่จำกัด
Baby Grand: หนึ่งในประเภทที่ได้รับความนิยมมากที่สุดสำหรับใช้ในบ้าน มีความยาวประมาณ 4 ฟุต 11 นิ้ว ถึง 5 ฟุต 6 นิ้ว ให้ความสมดุลที่ดีระหว่างขนาดและเสียง
Medium Grand: มีขนาดใหญ่ขึ้น โดยปกติยาวระหว่าง 5 ฟุต 7 นิ้ว ถึง 6 ฟุต 4 นิ้ว ให้เสียงที่เต็มอิ่มขึ้นและเหมาะสำหรับห้องขนาดใหญ่หรือสตูดิโอ
Parlor Grand (หรือ Living Room Grand/Boudoir Grand): มีความยาวตั้งแต่ 5 ฟุต 9 นิ้ว ถึง 6 ฟุต 9 นิ้ว เปียโนเหล่านี้ให้คุณภาพเสียงและความกังวานที่เพิ่มขึ้น ทำให้เป็นตัวเลือกยอดนิยมสำหรับนักเปียโนมืออาชีพและบ้านขนาดใหญ่
Semi-Concert Grand (หรือ Ballroom Grand): โดยทั่วไปยาว 6 ฟุต 7 นิ้ว ถึง 7 ฟุต 6 นิ้ว เปียโนเหล่านี้ขึ้นชื่อเรื่องเสียงที่ทรงพลังและช่วงไดนามิกที่กว้าง เหมาะสำหรับนักดนตรีมืออาชีพและพื้นที่การแสดงขนาดกลาง
Concert Grand: แกรนด์เปียโนที่ใหญ่ที่สุดและทรงพลังที่สุด มักมีความยาวประมาณ 8 ฟุต 11 นิ้ว ถึง 9 ฟุต หรือมากกว่านั้น ออกแบบมาสำหรับห้องคอนเสิร์ตขนาดใหญ่และการแสดงระดับมืออาชีพ ให้คุณภาพเสียง ระดับเสียง และการตอบสนองที่ไม่มีใครเทียบได้
อัพไรท์ เปียโน (Upright Piano)
Upright Piano เปียโนอีกประเภทที่ได้รับความนิยมคือ เปียโน upright หรือที่คนไทยมักเรียกว่า เปียโนตั้งตรง ซึ่งเป็นเปียโนอะคูสติกที่สายและแผงเสียง (soundboard) ถูกจัดวางในแนวตั้ง ทำให้ตัวเครื่องมีรูปทรงกะทัดรัด เหมาะสำหรับพื้นที่จำกัด
ทำไมถึงเลือกเปียโน Upright
ประหยัดพื้นที่: ข้อได้เปรียบที่สำคัญที่สุดของเปียโน upright คือการออกแบบที่ประหยัดพื้นที่ เนื่องจากสายเปียโนวางในแนวตั้ง ทำให้สามารถวางชิดผนังได้ เหมาะสำหรับอพาร์ตเมนต์ บ้านที่มีพื้นที่จำกัด หรือห้องเรียน
ราคาที่เข้าถึงได้: โดยทั่วไปแล้ว เปียโน upright มีราคาถูกกว่าแกรนด์เปียโนอย่างเห็นได้ชัด ทำให้เป็นตัวเลือกที่เข้าถึงได้มากขึ้นสำหรับนักเรียน ผู้เริ่มต้น หรือผู้ที่ต้องการเปียโนสำหรับการใช้งานทั่วไปในบ้าน
เสียงที่เหมาะกับบ้าน: แม้ว่าเสียงอาจไม่กังวานและซับซ้อนเท่าแกรนด์เปียโน แต่เปียโน upright ก็ยังให้เสียงที่เต็มอิ่มและไพเราะ ซึ่งเพียงพอสำหรับการฝึกซ้อม การเรียนรู้ หรือการเล่นเพื่อความเพลิดเพลินในบ้าน
ความทนทาน: เปียโน upright ที่มีคุณภาพดีสามารถใช้งานได้ยาวนานหลายสิบปี หากได้รับการดูแลรักษาอย่างเหมาะสม
กลไกการทำงานของเปียโน Upright
ในเปียโน upright หัวค้อนจะตีสายจากด้านหน้าเข้าหาสายในแนวตั้ง แล้วดีดกลับด้วยกลไกสปริงและคันโยก เนื่องจากไม่มีแรงโน้มถ่วงช่วยดึงหัวค้อนกลับเหมือนในแกรนด์เปียโน การกดซ้ำคีย์อย่างรวดเร็วอาจทำได้ยากกว่าเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีสมัยใหม่ทำให้เปียโน upright มีกลไกการทำงานที่พัฒนาขึ้นมาก ช่วยให้ตอบสนองได้ดีขึ้น
ขนาดของเปียโน Upright
เปียโน upright มีหลายขนาด โดยทั่วไปวัดจากความสูงของตัวเครื่อง:
Spinet (สปิเน็ต): เป็นเปียโน upright ที่เล็กที่สุด สูงประมาณ 36-38 นิ้ว เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้นและผู้ที่มีพื้นที่จำกัดมาก
Console (คอนโซล): มีขนาดใหญ่ขึ้นเล็กน้อย สูงประมาณ 40-44 นิ้ว ให้เสียงที่ดีขึ้นและมักเป็นที่นิยมสำหรับใช้ในบ้าน
Studio (สตูดิโอ): สูงประมาณ 45-48 นิ้ว เป็นที่นิยมในโรงเรียนสอนดนตรีและสตูดิโอซ้อม เนื่องจากให้เสียงที่เต็มอิ่มและกลไกการทำงานที่ตอบสนองได้ดี
Professional/Full Upright (โปรเฟสชันแนล/ฟูลอัพไรท์): เป็นเปียโน upright ที่สูงที่สุด สูงตั้งแต่ 48 นิ้วขึ้นไป ให้เสียงที่กังวานและทรงพลัง ใกล้เคียงกับเปียโนแกรนด์ขนาดเล็ก
ออร์แกน (organ)
ออร์แกน (Organ) เป็นเครื่องดนตรีประเภทคีย์บอร์ดที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานและมีความหลากหลายสูง มีชื่อเสียงจากเสียงที่กังวาน ทรงพลัง และสามารถเลียนแบบเสียงของเครื่องดนตรีหลายชนิดได้ ออร์แกนไม่ได้ใช้สายตีเหมือนเปียโน แต่สร้างเสียงด้วยการส่งลมผ่านท่อ (สำหรับไปป์ออร์แกน) หรือสร้างเสียงด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์
ประเภทของออร์แกน
ออร์แกนสามารถแบ่งออกเป็นหลายประเภทหลักๆ ได้แก่:
ไปป์ออร์แกน (Pipe Organ):
ลักษณะ: เป็นออร์แกนแบบดั้งเดิมและใหญ่ที่สุด มีท่อโลหะหรือไม้จำนวนมาก (บางครั้งเป็นพันๆ ท่อ) แต่ละท่อจะสร้างเสียงได้หนึ่งโน้ตเมื่อลมถูกเป่าผ่าน
การทำงาน: ผู้เล่นจะกดคีย์บอร์ด (เรียกว่า manual) ด้วยมือ และแป้นเหยียบ (pedalboard) ด้วยเท้า เพื่อเปิดวาล์วให้ลมจากเครื่องเป่าลม (blower) เข้าไปในท่อ ทำให้เกิดเสียง นอกจากนี้ยังมีปุ่มหรือคันโยก (stop) สำหรับเลือกกลุ่มท่อที่แตกต่างกัน เพื่อสร้างเสียงที่มีลักษณะเฉพาะ เช่น เสียงฟลูท เสียงทรัมเป็ต หรือเสียงสตริง
เสียง: ให้เสียงที่ยิ่งใหญ่ กังวาน มีพลัง และหลากหลายมาก สามารถเลียนแบบเสียงเครื่องดนรีวงออร์เคสตราได้ทั้งวง
การใช้งาน: พบมากในโบสถ์ คอนเสิร์ตฮอลล์ และวิหารขนาดใหญ่ เนื่องจากต้องใช้พื้นที่มากในการติดตั้งและมีราคาแพง
ออร์แกนลม (Reed Organ / Harmonium):
ลักษณะ: เป็นออร์แกนขนาดเล็กกว่าไปป์ออร์แกน ใช้ลมที่เป่าผ่านลิ้นโลหะที่สั่นสะเทือนเพื่อสร้างเสียง
การทำงาน: ผู้เล่นจะใช้เท้าถีบแป้นเหยียบเพื่อสร้างลมดัน แล้วกดคีย์บอร์ด
การใช้งาน: เคยนิยมใช้ในบ้าน โบสถ์ขนาดเล็ก หรือในโรงเรียน ปัจจุบันพบน้อยลง
ออร์แกนไฟฟ้า/อิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Organ / Digital Organ):
ลักษณะ: สร้างเสียงด้วยวงจรอิเล็กทรอนิกส์หรือระบบดิจิทัล ไม่ได้ใช้ท่อลมจริง
การทำงาน: สร้างเสียงเลียนแบบไปป์ออร์แกนหรือเสียงเครื่องดนตรีอื่นๆ ด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ สามารถปรับเสียงได้หลากหลาย และมักมีฟังก์ชันการบันทึกเสียงหรือเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ภายนอกได้
เสียง: แม้จะไม่สามารถเทียบเท่าความสมจริงของไปป์ออร์แกนขนาดใหญ่ได้ แต่ก็สามารถสร้างเสียงที่มีคุณภาพสูงและหลากหลายได้ดีเยี่ยม
การใช้งาน: เป็นที่นิยมมากในปัจจุบัน เนื่องจากมีขนาดกะทัดรัด เคลื่อนย้ายง่ายกว่า ราคาถูกกว่า และไม่ต้องบำรุงรักษาซับซ้อนเท่าไปป์ออร์แกน ใช้ในโบสถ์สมัยใหม่ สตูดิโอ คอนเสิร์ตขนาดเล็ก หรือใช้เป็นเครื่องดนตรีฝึกซ้อมส่วนตัว
ออร์แกนเมโลเดียน (Melodion / Melodica):
ลักษณะ: เป็นเปียโนแบบเป่าขนาดเล็ก พกพาสะดวก
การทำงาน: ผู้เล่นใช้ปากเป่าลมผ่านช่องเป่า แล้วกดคีย์เพื่อเปิดวาล์วให้ลมไปกระทบลิ้นเสียง
การใช้งาน: มักใช้ในการสอนดนตรีในโรงเรียนระดับอนุบาลจนถึงประถมศึกษา หรือใช้สำหรับผู้เริ่มต้น
ส่วนประกอบหลักของออร์แกน (โดยเฉพาะไปป์ออร์แกน)
คีย์บอร์ด (Manuals): แผงคีย์สำหรับกดด้วยมือ มักจะมีหลายชั้น (เช่น Great, Swell, Choir, Solo) แต่ละชั้นควบคุมชุดท่อที่แตกต่างกัน
แป้นเหยียบ (Pedalboard): แผงคีย์สำหรับเหยียบด้วยเท้า ใช้เล่นโน้ตเสียงต่ำ (เบส)
ท่อเสียง (Pipes): ท่อโลหะหรือไม้ที่มีรูปร่างและขนาดต่างกัน เพื่อสร้างเสียงในระดับเสียงและลักษณะเสียงที่แตกต่างกัน
ปุ่ม/คันโยก (Stops): ใช้สำหรับเลือกและเปิด/ปิดกลุ่มท่อเสียงต่างๆ เพื่อให้ได้เสียงที่มีลักษณะเฉพาะ เช่น เสียงฟลูท เสียงสตริง เสียงทรัมเป็ต
แหล่งจ่ายลม (Blower/Wind system): เครื่องเป่าลมและระบบท่อลมที่จ่ายลมที่มีแรงดันคงที่ให้กับท่อเสียง
คอนโซล (Console): ส่วนที่ผู้เล่นนั่งและควบคุมการทำงานทั้งหมดของออร์แกน
เสียงของออร์แกน
เสียงของออร์แกนมีความโดดเด่นและเป็นเอกลักษณ์ สามารถสร้างเสียงได้หลากหลายมาก ตั้งแต่เสียงที่นุ่มนวล ใสสะอาดคล้ายฟลูท ไปจนถึงเสียงที่ทรงพลัง กังวาน และยิ่งใหญ่ราวกับวงออร์เคสตราเต็มรูปแบบ ความสามารถในการผสมผสานเสียงต่างๆ จากกลุ่มท่อที่แตกต่างกัน (โดยการใช้ stops) ทำให้ออร์แกนมีมิติเสียงที่ซับซ้อนและน่าทึ่ง
ออร์แกนเป็นเครื่องดนตรีที่ได้รับความนิยมอย่างมากในดนตรีคลาสสิก โดยเฉพาะในเพลงโบสถ์และงานแสดงคอนเสิร์ตใหญ่ๆ
คลาวิคอร์ด (Clavichord)
คลาวิคอร์ด (Clavichord) เป็นเครื่องดนตรีประเภทคีย์บอร์ดที่ใช้สายเสียง ซึ่งรุ่งเรืองมากตั้งแต่ประมาณปี ค.ศ. 1400 ถึง 1800 และกลับมาได้รับความนิยมอีกครั้งในศตวรรษที่ 20 มักถูกอธิบายว่าเป็นกล่องสี่เหลี่ยมที่มีแผงคีย์บอร์ด และรูปลักษณ์ภายนอกบางครั้งอาจทำให้สับสนกับฮาร์ปซิคอร์ดขนาดเล็ก หรือเปียโนยุคแรกๆ
เอกลักษณ์ของคลาวิคอร์ด
สิ่งที่ทำให้คลาวิคอร์ดมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวคือ:
การสร้างเสียง (Tangent): แตกต่างจากเปียโน (ที่ใช้ค้อนตี) หรือฮาร์ปซิคอร์ด (ที่ใช้ตัวดีดสาย) คลาวิคอร์ดสร้างเสียงโดยใช้ใบมีดโลหะเล็กๆ ที่เรียกว่า แทนเจนต์ (tangent) อยู่ที่ปลายแต่ละคีย์ เมื่อกดคีย์ แทนเจนต์จะยกขึ้นและตีสายจากด้านล่าง สิ่งสำคัญคือ แทนเจนต์จะยังคงสัมผัสกับสายตราบเท่าที่ยังกดคีย์ไว้
การควบคุมเสียงโดยตรงและการแสดงอารมณ์: กลไกที่เป็นเอกลักษณ์นี้ช่วยให้ผู้เล่นสามารถควบคุมเสียงได้อย่างละเอียดอ่อนและใกล้ชิดกับการสัมผัส แทนเจนต์ทำหน้าที่ทั้งเป็นผู้เริ่มต้นเสียงและเป็น "เฟรต" (เหมือนบนกีตาร์) ที่กำหนดความยาวของสายที่สั่นสะเทือน
การปรับความดังของเสียง: เนื่องจากการที่แทนเจนต์ยังคงสัมผัสกับสาย ผู้เล่นสามารถปรับแรงกดบนคีย์ได้ หลังจาก การตีครั้งแรก ซึ่งช่วยให้สามารถควบคุมความดังของเสียงได้อย่างละเอียด (จากเบามากไปจนถึงดังขึ้นเล็กน้อย) และยังสามารถสร้างเอฟเฟกต์การสั่นสะเทือนที่เป็นเอกลักษณ์ที่เรียกว่า เบบุง (bebungen) (หรือ Bebung) ซึ่งเป็นการโยกนิ้วเล็กน้อยทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงระดับเสียงที่สั่นไหว ความสามารถในการแสดงอารมณ์นี้เป็นข้อได้เปรียบที่สำคัญเหนือฮาร์ปซิคอร์ด ซึ่งโดยทั่วไปมีการควบคุมความดังของเสียงที่จำกัด
เสียงที่เบา: คลาวิคอร์ดขึ้นชื่อเรื่องเสียงที่นุ่มนวลและละเอียดอ่อนอย่างยิ่ง ทำให้เหมาะสำหรับการฝึกซ้อมส่วนตัว ดนตรีแชมเบอร์ที่ใกล้ชิด และการประพันธ์เพลงในห้องขนาดเล็ก แต่ไม่เหมาะสำหรับห้องแสดงคอนเสิร์ตขนาดใหญ่หรือการแสดงร่วมกับเครื่องดนตรีอื่นที่มีเสียงดังกว่า
แบบมีเฟรตเทียบเสียง (Fretted) vs. แบบไม่มีเฟรตเทียบเสียง (Unfretted):
คลาวิคอร์ดแบบมีเฟรตเทียบเสียง (Gebunden): ในคลาวิคอร์ดรุ่นแรกๆ คีย์หลายตัว (และโน้ตหลายตัว) สามารถใช้สายเดียวกันได้ แทนเจนต์จะตีสายในจุดที่ต่างกันเพื่อสร้างระดับเสียงที่ต่างกัน ซึ่งช่วยลดจำนวนสายที่จำเป็น แต่หมายความว่าโน้ตที่ใช้สายเดียวกันไม่สามารถเล่นพร้อมกันได้
คลาวิคอร์ดแบบไม่มีเฟรตเทียบเสียง (Bundfrei):
คลาวิคอร์ดรุ่นหลังๆ มีสายแยกสำหรับแต่ละคีย์ ทำให้มีความยืดหยุ่นทางดนตรีมากขึ้นและสามารถเล่นโน้ตทั้งหมดได้อย่างอิสระ
ความสำคัญทางประวัติศาสตร์: คลาวิคอร์ดเป็นเครื่องดนตรีที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในเยอรมนี ในช่วงยุคบาโรกและยุคคลาสสิกตอนต้น นักประพันธ์เพลงเช่น โยฮันน์ เซบาสเตียน บาค และคาร์ล ฟิลิปป์ เอมานูเอล บาค บุตรชายของเขา เป็นที่รู้จักกันดีว่าชื่นชอบคลาวิคอร์ดในด้านการแสดงอารมณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับการฝึกซ้อมและการประพันธ์เพลง เพลงจำนวนมากที่เขียนขึ้นสำหรับ "คีย์บอร์ด" ในยุคนี้อาจมีจุดประสงค์สำหรับคลาวิคอร์ด
ฮาร์พซิคอร์ด (harpsichord)
ฮาร์ปซิคอร์ด (Harpsichord) เป็นเครื่องดนตรีประเภทคีย์บอร์ดแบบมีสายที่ได้รับความนิยมอย่างมากในช่วงยุคบาโรก (ประมาณ ค.ศ. 1600-1750) ก่อนที่เปียโนจะเข้ามาแทนที่ในฐานะเครื่องดนตรีคีย์บอร์ดที่โดดเด่น มันมีลักษณะคล้ายกับเปียโนในรูปร่าง แต่กลไกการสร้างเสียงนั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ลักษณะและการสร้างเสียงของฮาร์ปซิคอร์ด
สิ่งที่ทำให้ฮาร์ปซิคอร์ดโดดเด่นคือวิธีการสร้างเสียง:
การดีดสาย (Plucking): แทนที่จะใช้ค้อนตีสายเหมือนเปียโน หรือแทนเจนต์สัมผัสสายเหมือนคลาวิคอร์ด ฮาร์ปซิคอร์ดใช้กลไกที่เรียกว่า "jack" ซึ่งมี "plectrum" (ตัวดีด) เล็กๆ ติดอยู่ ตัวดีดนี้มักทำจากขนนก (เช่น ขนนกแก้ว) หรือวัสดุสังเคราะห์ เช่น พลาสติก Delrin
เมื่อผู้เล่นกดคีย์ ตัว jack จะยกขึ้น ทำให้ plectrum ดีดสายให้สั่นสะเทือนเกิดเป็นเสียง
เมื่อปล่อยคีย์ ตัว jack จะตกลงมา และ plectrum จะหมุนหลบเพื่อไม่ให้ดีดสายซ้ำขณะที่กลับสู่ตำแหน่งเดิม พร้อมกับมี "damper" (ตัวห้ามเสียง) เล็กๆ ที่ติดอยู่กับ jack ลงมาหยุดการสั่นของสาย
เสียงที่สว่างและคมชัด: เสียงของฮาร์ปซิคอร์ดมีลักษณะเฉพาะคือ สว่าง (bright), คมชัด (crisp), และมีเสียงสั้น (less sustain) กว่าเปียโนมาก เสียงจะ "ดัง" และ "ดับ" ค่อนข้างเร็ว ความกังวานของเสียงจะขึ้นอยู่กับขนาดของเครื่องและคุณภาพการสร้าง
การควบคุมความดังที่จำกัด: ข้อจำกัดหลักของฮาร์ปซิคอร์ดคือ การควบคุมความดังของเสียง (dynamics) โดยการสัมผัสคีย์นั้นทำได้จำกัดมาก ไม่ว่าผู้เล่นจะกดคีย์หนักหรือเบาแค่ไหน เสียงที่ออกมาจะมีความดังใกล้เคียงกัน นี่คือความแตกต่างที่สำคัญที่สุดกับเปียโนซึ่งออกแบบมาเพื่อการควบคุมความดังที่หลากหลาย (pianoforte = soft-loud)
วิธีการสร้างความหลากหลายของเสียงในฮาร์ปซิคอร์ด
แม้จะควบคุมความดังโดยการสัมผัสไม่ได้ แต่ฮาร์ปซิคอร์ดมีวิธีอื่นในการสร้างความหลากหลายของเสียง (Multiple String Sets): ฮาร์ปซิคอร์ดจำนวนมากมีชุดสายมากกว่าหนึ่งชุด ซึ่งแต่ละชุดมีโทนเสียงที่แตกต่างกัน โดยทั่วไปจะแบ่งเป็น:
8-foot (8'): สายเสียงมาตรฐาน ให้เสียงในระดับปกติ
4-foot (4'): สายเสียงที่สั้นกว่า ให้เสียงสูงขึ้นหนึ่งคู่แปด (octave higher)
16-foot (16'): สายเสียงที่ยาวกว่า ให้เสียงต่ำลงหนึ่งคู่แปด (octave lower) (พบได้น้อยในฮาร์ปซิคอร์ด แต่มีในบางรุ่น)
หลายแผงคีย์ (Multiple Manuals): ฮาร์ปซิคอร์ดขนาดใหญ่บางเครื่องมีแผงคีย์สองแผง (manuals) หรือมากกว่า เหมือนกับไปป์ออร์แกน แต่ละแผงคีย์สามารถควบคุมชุดสายที่แตกต่างกันได้ ผู้เล่นสามารถสลับแผงคีย์เพื่อเปลี่ยนโทนเสียง หรือเล่นพร้อมกันเพื่อสร้างเสียงที่เต็มอิ่มยิ่งขึ้น
กลไก "Lute Stop" หรือ "Buff Stop": เป็นกลไกที่นำชิ้นส่วนผ้าสักหลาด (felt) เล็กๆ มาแตะที่ปลายสายใกล้กับสะพานเสียง (bridge) เพื่อทำให้เสียงสั้นลงและให้โทนเสียงคล้ายเสียงลูท (lute) หรือเครื่องดนตรีพิณ
"Nasal" or "Buzz" Stops: บางเครื่องมีกลไกที่ทำให้เกิดเสียงที่ "มีจมูก" หรือเสียง "หวี่" ที่ชัดเจนขึ้น ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของฮาร์ปซิคอร์ดบางประเภท
ประเภทของฮาร์ปซิคอร์ด (แบ่งตามภูมิภาค)
ฮาร์ปซิคอร์ดมีรูปแบบที่แตกต่างกันไปตามโรงเรียนการสร้างในแต่ละภูมิภาค:
อิตาลี (Italian Harpsichord): มักจะมีขนาดเล็กกว่า น้ำหนักเบากว่า มีชุดสายเดียว (หรือสองชุด 8') และเสียงที่คมชัด สว่าง และมี sustain น้อย เน้นความชัดเจนของแต่ละโน้ต
เฟลมิช (Flemish Harpsichord - เช่น Ruckers): มีชื่อเสียงมากในศตวรรษที่ 17 มักมีสองแผงคีย์ และชุดสายสองชุด (8', 4') เสียงจะเต็มอิ่มและมีกังวานมากกว่าฮาร์ปซิคอร์ดอิตาลี
ฝรั่งเศส (French Harpsichord - เช่น Taskin): พัฒนามาจากแบบเฟลมิชในช่วงศตวรรษที่ 18 มีความสง่างามในการออกแบบและเสียงที่สมดุล นุ่มนวลกว่าฮาร์ปซิคอร์ดอิตาลีและเฟลมิชเล็กน้อย เหมาะสำหรับดนตรีบาโรกฝรั่งเศส
เยอรมัน (German Harpsichord): มักจะใหญ่กว่าและมีชุดสายที่หลากหลายกว่า (เช่น 8', 4', 16') เพื่อให้ได้ช่วงเสียงที่กว้างขึ้นและโทนเสียงที่หลากหลาย เหมาะสำหรับดนตรีบาโรกเยอรมัน เช่น ของ Bach
ความสำคัญทางประวัติศาสตร์และการใช้งาน
ฮาร์ปซิคอร์ดเป็นหัวใจสำคัญของดนตรีบาโรกและดนตรีคลาสสิกตอนต้น มันถูกใช้เป็นเครื่องดนตรีโซโล เครื่องดนตรีร่วมกับวงออร์เคสตรา (ในส่วนของ basso continuo) และในดนตรีแชมเบอร์สำหรับผู้เล่นหลายคน
แม้ว่าเปียโนจะเข้ามาแทนที่ในที่สุดเนื่องจากความสามารถในการควบคุมความดังที่เหนือกว่า แต่ฮาร์ปซิคอร์ดก็ได้รับการฟื้นฟูความนิยมอย่างมากในศตวรรษที่ 20 โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการเล่นดนตรีเก่า (early music) ซึ่งนักดนตรีพยายามที่จะเล่นเพลงในยุคบาโรกด้วยเครื่องดนตรีที่ใกล้เคียงกับเครื่องดนตรีดั้งเดิมในสมัยนั้นมากที่สุด เพื่อให้ได้เสียงและอารมณ์ที่ถูกต้องตามที่ผู้ประพันธ์เพลงตั้งใจไว้
แอคคอร์เดียน (Accordion)
แอคคอร์เดียน (Accordion) หรือที่คนไทยรู้จักกันในชื่อ หีบเพลงชัก เป็นเครื่องดนตรีประเภทคีย์บอร์ดที่ใช้ลิ้นเสียงอิสระ (free-reed aerophone) โดยมีกลไกที่น่าสนใจคือการใช้ หีบเพลง (bellows) เพื่อเป่าลมผ่านลิ้นเสียงเล็กๆ ภายในตัวเครื่อง ทำให้เกิดเสียงขึ้นมา
ลักษณะและการทำงานของแอคคอร์เดียน
รูปร่าง: แอคคอร์เดียนมีลักษณะเป็นกล่องสี่เหลี่ยมประกอบด้วย 3 ส่วนหลักๆ คือ:
ด้านขวา (Treble/Melody side): เป็นส่วนของคีย์บอร์ดหรือปุ่มสำหรับเล่นทำนอง (melody)
ด้านซ้าย (Bass/Chord side): เป็นส่วนของปุ่มสำหรับเล่นเสียงเบส (bass) และคอร์ด (chords)
หีบเพลง (Bellows): อยู่ตรงกลาง ทำหน้าที่เป็น "ปอด" ของเครื่องดนตรี เมื่อผู้เล่นดึงหรือบีบหีบเพลง จะทำให้เกิดการเคลื่อนที่ของลมผ่านลิ้นเสียง
การสร้างเสียง: เสียงของแอคคอร์เดียนเกิดจากการที่ลมเคลื่อนที่ผ่านลิ้นโลหะเล็กๆ (reeds) ที่ติดตั้งอยู่ภายใน ลิ้นเหล่านี้จะสั่นสะเทือนเมื่อลมผ่าน ทำให้เกิดเสียงโน้ตต่างๆ ขึ้นมา
การควบคุมเสียง ผู้เล่นจะควบคุมเสียงด้วยการกดคีย์/ปุ่ม เพื่อเปิดช่องให้ลมเข้าไปในลิ้นเสียงที่ต้องการ บีบ/ดึงหีบเพลง เพื่อสร้างแรงดันลมที่แตกต่างกัน ซึ่งส่งผลต่อความดังของเสียง (ยิ่งบีบ/ดึงแรง เสียงยิ่งดัง) ทำให้สามารถควบคุมไดนามิกได้ดี
เสียงที่เป็นเอกลักษณ์: แอคคอร์เดียนมีเสียงที่เป็นเอกลักษณ์และจดจำได้ง่าย มักถูกอธิบายว่าเป็นเสียงที่ "กังวาน" "มีชีวิตชีวา" และบางครั้งก็ "เศร้าโศก" หรือ "ร่าเริง" ขึ้นอยู่กับสไตล์การเล่นและดนตรี
ประเภทของแอคคอร์เดียน
แอคคอร์เดียนมีหลายประเภทหลักๆ ซึ่งแตกต่างกันที่รูปแบบของคีย์บอร์ดและกลไกการสร้างเสียง:
เปียโนแอคคอร์เดียน (Piano Accordion):
ลักษณะ: ด้านขวามือจะเป็นคีย์บอร์ดแบบเปียโน ทำให้คุ้นเคยสำหรับผู้ที่เล่นเปียโนอยู่แล้ว
การสร้างเสียง: มักเป็นแบบ ยูนิโซนิก (unisonoric) คือให้เสียงเดียวกันไม่ว่าจะเป็นการดึงหรือบีบหีบเพลง
การใช้งาน: เป็นที่นิยมและหลากหลายที่สุด ใช้ในดนตรีหลายประเภท ตั้งแต่โฟล์ค คลาสสิก แจ๊ส ไปจนถึงป๊อป
ปุ่มแอคคอร์เดียนแบบโครมาติก (Chromatic Button Accordion - CBA):
ลักษณะ: ทั้งสองด้านเป็นปุ่มกด โดยปุ่มด้านขวาจะเรียงเป็นแถวสำหรับโน้ตโครมาติก (สามารถเล่นได้ทุกคีย์)
การสร้างเสียง: มักเป็นแบบยูนิโซนิก
การใช้งาน: ได้รับความนิยมในยุโรปตะวันออกและดนตรีพื้นบ้านบางประเภท ให้ความยืดหยุ่นในการเล่นเมโลดี้ได้ดี
ปุ่มแอคคอร์เดียนแบบไดอะโทนิก (Diatonic Button Accordion):
ลักษณะ: มีปุ่มกดทั้งสองด้าน แต่ปุ่มด้านขวาจะจำกัดอยู่แค่ในคีย์หรือสเกลที่กำหนดไว้
การสร้างเสียง: มักเป็นแบบ ไบโซนิก (bisonoric) คือให้เสียงที่แตกต่างกันเมื่อดึงหีบเพลงเข้าและบีบหีบเพลงออก
การใช้งาน: นิยมใช้ในดนตรีพื้นบ้าน (folk music) เช่น โพลกา (Polka), ไซดีโก (Zydeco), และดนตรีไอริช
การใช้งานและบทบาทในดนตรี
แอคคอร์เดียนเป็นเครื่องดนตรีที่มีความหลากหลายสูง สามารถเล่นได้ทั้งเพลงทำนอง (melody) คอร์ด (chord) และเบส (bass) ไปพร้อมกัน ทำให้สามารถเป็นวงดนตรีขนาดเล็กได้ในตัวเอง หรือเป็นส่วนหนึ่งของวงดนตรีประเภทต่างๆ
แอคคอร์เดียนถูกนำไปใช้ในแนวเพลงที่หลากหลายทั่วโลก เช่น
ดนตรีพื้นบ้าน (Folk Music): โพลกา (Polka), วอลทซ์ (Waltz), ดนตรีเคลติก (Celtic), ดนตรีคันทรี่
ดนตรีโลก (World Music): โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุโรป (เช่น ฝรั่งเศส อิตาลี เยอรมนี รัสเซีย) อเมริกาใต้ (เช่น แทงโก้จากอาร์เจนตินา) และอเมริกาเหนือ (เช่น ดนตรีเคจันจากหลุยเซียน่า)
ดนตรีคลาสสิก: มีเพลงคลาสสิกที่แต่งขึ้นสำหรับแอคคอร์เดียน และยังมีการนำไปใช้ในวงออร์เคสตราบางครั้ง
ป๊อปและร็อก: ถูกนำไปใช้เพื่อเพิ่มสีสันและเอกลักษณ์ให้กับเพลง
แจ๊ส: แอคคอร์เดียนก็มีบทบาทในวงการเพลงแจ๊สเช่นกัน
แม้ว่าความนิยมของแอคคอร์เดียนอาจลดลงไปบ้างตามยุคสมัย แต่ก็ยังคงเป็นเครื่องดนตรีที่ผู้คนจำนวนมากหลงรักและยังคงมีการนำไปเล่นในวงดนตรีและเทศกาลต่างๆ ทั่วโลก
อิเล็กโทน (Electone)
อิเล็กโทน (Electone) เป็นเครื่องดนตรีไฟฟ้าประเภทคีย์บอร์ดที่มีชื่อเสียงและเป็นเครื่องหมายการค้าจดทะเบียนของ ยามาฮ่า (Yamaha) สำหรับออร์แกนอิเล็กทรอนิกส์โดยเฉพาะ มันถูกออกแบบมาให้ผู้เล่นสามารถสร้างสรรค์และควบคุมเสียงดนตรีได้อย่างหลากหลายและครบวงจรด้วยตัวคนเดียว
ลักษณะเด่นของอิเล็กโทน
อิเล็กโทนมีความโดดเด่นด้วยคุณสมบัติเหล่านี้:
คีย์บอร์ดหลายชั้น: โดยทั่วไปอิเล็กโทนจะมีคีย์บอร์ดสำหรับมือสองแผง (ชั้นบน (Upper) และ ชั้นล่าง (Lower)) คล้ายกับออร์แกน และยังมี แป้นเหยียบเบส (Foot bass/Pedalboard) สำหรับเล่นเสียงเบสด้วยเท้า ทำให้ผู้เล่นสามารถควบคุมเสียงเมโลดี้ คอร์ด และเบสไปพร้อมกันได้เสมือนเล่นกับวงดนตรี
เสียงเครื่องดนตรีหลากหลาย (Voices/Tones): อิเล็กโทนมีความสามารถในการสร้างเสียงเครื่องดนตรีได้มากมาย ทั้งเสียงเปียโน ออร์แกน กีตาร์ เครื่องเป่า เครื่องสาย เครื่องกระทบ และเสียงสังเคราะห์อื่นๆ อีกมากมาย ผู้เล่นสามารถเลือกและผสมผสานเสียงเหล่านี้ได้ตามต้องการ
จังหวะดนตรีอัตโนมัติ (Rhythm Patterns): มีฟังก์ชันจังหวะกลองและรูปแบบจังหวะดนตรีสำเร็จรูปหลากหลายแนวเพลง ช่วยให้ผู้เล่นสามารถเล่นประกอบเพลงได้อย่างง่ายดาย
คอร์ดและเบสอัตโนมัติ (Auto Accompaniment): บางรุ่นมีฟังก์ชันที่ช่วยสร้างคอร์ดและไลน์เบสประกอบอัตโนมัติตามคอร์ดที่ผู้เล่นกดด้วยมือซ้าย ทำให้การเล่นมีความสมบูรณ์มากขึ้น
การปรับแต่งเสียงและเอฟเฟกต์: ผู้เล่นสามารถปรับแต่งเสียงต่างๆ ได้อย่างละเอียด เช่น ค่า Reverb, Chorus, Flanger, Phaser และเอฟเฟกต์อื่นๆ เพื่อเพิ่มมิติและความรู้สึกให้กับเสียงดนตรี
ระบบสัมผัส (Touch Sensitivity): อิเล็กโทนรุ่นใหม่ๆ มักมีระบบสัมผัส (touch response) ที่ละเอียดอ่อน ทำให้สามารถควบคุมน้ำหนักเสียง (dynamics) และการแสดงอารมณ์ได้คล้ายกับเครื่องดนตรีอะคูสติก
ฟังก์ชันการบันทึกและเชื่อมต่อ: สามารถบันทึกการเล่นได้ และมีพอร์ตเชื่อมต่อ USB หรือ MIDI สำหรับเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์อื่นๆ เพื่อขยายขีดความสามารถ
ประวัติและความนิยม
อิเล็กโทนถูกพัฒนาขึ้นโดย Yamaha และเปิดตัวครั้งแรกในปี 1959 โดยรุ่นแรกสุดคือ D-2B ในปี 1967 ในช่วงแรก อิเล็กโทนได้รับความนิยมอย่างมากในญี่ปุ่นและหลายประเทศในเอเชีย รวมถึงประเทศไทยด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโรงเรียนดนตรีและสำหรับการเรียนรู้ดนตรีในบ้าน เนื่องจากความสามารถในการเป็น "วงดนตรีคนเดียว" และเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยในยุคนั้น
แม้ว่าในช่วงหลัง คีย์บอร์ดไฟฟ้าและซินธิไซเซอร์จะได้รับความนิยมมากขึ้น แต่อิเล็กโทนก็ยังคงมีกลุ่มผู้เล่นและผู้ชื่นชอบอยู่ โดยเฉพาะซีรีส์ Yamaha Stagea ที่เป็นรุ่นปัจจุบัน ซึ่งยังคงพัฒนาเทคโนโลยีและคุณภาพเสียงให้ดียิ่งขึ้นไปอีก
อิเล็กโทนกับเครื่องดนตรีคีย์บอร์ดอื่นๆ
ต่างจากเปียโน: อิเล็กโทนเป็นเครื่องดนตรีไฟฟ้าที่สร้างเสียงด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์หรือดิจิทัล ไม่ได้ใช้สายและค้อนตีเหมือนเปียโนอะคูสติก และมีความสามารถในการสร้างเสียงและจังหวะที่หลากหลายกว่ามาก
ต่างจากคีย์บอร์ด/ซินธิไซเซอร์ทั่วไป: แม้จะเป็นเครื่องดนตรีคีย์บอร์ดไฟฟ้าเหมือนกัน แต่อิเล็กโทนจะเน้นไปที่การมีคีย์บอร์ดหลายชั้นและแป้นเหยียบเบส ทำให้สามารถเล่นเพลงที่มีองค์ประกอบดนตรีครบถ้วนได้ด้วยคนเดียว ซึ่งคีย์บอร์ดพกพาทั่วไปมักจะไม่มีคุณสมบัตินี้
โดยรวมแล้ว อิเล็กโทนเป็นเครื่องดนตรีที่มีความสามารถรอบด้าน เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการสำรวจและสร้างสรรค์ดนตรีในรูปแบบที่หลากหลายด้วยเครื่องดนตรีเพียงชิ้นเดียว
เครื่องลมเป่าเหลืองทอง ( Brass Instruments) เป็นการจัดประเภทของเครื่องดนตรีสากล โดยเครื่องดนตรีประเภทเครื่องลมทองเหลืองจะมีส่วนประกอบที่สำคัญคือ ท่อลมทำด้วยโลหะขนาดต่าง ๆ กันการเกิดเสียงเกิดจากการเป่าลมให้เกิดการสั่นสะเทือนที่ริมฝีปากของผู้เล่น ผ่านเข้าไปในกำพวด (Mouth Piece) การเป่าเครื่องลมทองเหลืองจึงขึ้นอยู่กับริมฝีปากเป็นสำคัญ
เครื่องดนตรีประเภทนี้มักทำด้วยโลหะผสมหรือโลหะทองเหลือง เสียงของเครื่องดนตรีประเภทนี้เกิดจากการเป่าผ่านท่อโลหะ ความสั้นยาวของท่อโลหะทำให้ระดับเสียงเปลี่ยนไป การเปลี่ยนความสั้นยาวของท่อโลหะจะใช้ลูกสูบเป็นตัวบังคับ
เครื่องดนตรี บางชนิดจะใช้การชักท่อลมเข้าออก เปลี่ยนความสั้นยาวของท่อตามความต้องการ ลักษณะเด่นของเครื่องดนตรีประเภทนี้ มีปากลำโพงสำหรับใช้ขยายเสียงให้มีความดังเจิดจ้า เรามักเรียกเครื่องดนตรีประเภทนี้รวมๆ กันว่า “ แตร ” ขนาดของปากลำโพงขึ้นอยู่กับขนาดของเครื่องดนตรี ปากเป่าของเครื่องดนตรีประเภทนี้เรียกว่า “ กำพวด ” (Mouthpiece) ทำด้วยท่อโลหะ ทรงกรวย ด้านปากเป่ามีลักษณะบานออก คล้ายรูปกรวย มีขนาดต่างๆ กัน ตามขนาดของเครื่องดนตรีนั้นๆ ปลายท่ออีกด้านหนึ่งของกำพวด ต่อเข้ากับท่อลมของเครื่องดนตรี
ตัวอย่างของเครื่องดนตรีสากลประเภทเครื่องลมทองเหลือง
ฮอร์น (Horn)
ฮอร์น (Horn) เป็นเครื่องดนตรีชนิดหนึ่งอยู่ในประเภทเครื่องเป่าทองเหลือง เป็นเครื่องดนตรี High-Brass มีกำพวดขนาดค่อนข้างเล็ก มีโรเตอร์ (เฟรนช์ฮอร์น) และมีวาล์ว (บี-แฟลตฮอร์น) ในการเปลี่ยนเสียง โดยมากจะใช้ในวงโยธวาทิต วงดนตรีลูกทุ่ง จนถึงวงออเคสตรา และแตรวง เดิมเครื่องดนตรีชนิดนี้นิยมเรียกว่า เฟรนช์ฮอร์น แต่สมาคมฮอร์นนานาชาติ (International Horn Society, IHS) แนะนำให้ใช้ชื่อว่า ฮอร์น ตั้งแต่ พ.ศ. 2514
ฮอร์นให้เสียงค่อนข้างกว้าง เพราะลำโพงค่อนข้างกว้าง และจะให้เสียงนุ่มนวลในเสียงเบา นิยมใช้บรรเลงในวงซิมโฟนีออร์เคสตรา
ทรัมเป็ต (Trumpet)
ทรัมเป็ต (Trumpet) เป็นเครื่องดนตรีสากลในกลุ่มเครื่องลมทองเหลือง (แตร) ประเภทเสียงสูง (high brass) เช่นเดียวกับเฟรนช์ฮอร์น กำเนิดเสียงโดยอาศัยลมจากการเป่าของผู้เล่นทำให้เกิดการสั่นสะเทือนของริมฝีปาก โดยทั่วไปมีปุ่มกด (valve) 3 อัน เรียงอยู่ในระนาบเดียวกัน มีทั้งที่เคลือบผิวด้วยทอง, เงิน, นิกเกิล, และแลกเกอร์
ทรัมเป็ตมีวิวัฒนาการมายาวนานตั้งแต่สมัยโบราณ โดยเริ่มจากแตรสัญญาณที่ใช้ในการล่าสัตว์หรือในทางทหาร แต่แตรลักษณะนั้นโดยมากจะไม่มีปุ่มกดเพื่อเปลี่ยนระดับเสียง ทำให้ไม่สามารถสร้างระดับเสียงที่แตกต่างกันได้มากนัก จนกระทั่งมีการคิดประดิษฐ์ปุ่มกดและกลไกต่าง ๆ เข้าไปภายหลังในสมัยยุคกลาง โดยเป็นเครื่องดนตรีที่ได้รับความนิยมในวงกว้าง สามารถพบเห็นได้ในวงหลากหลายรูปแบบตั้งแต่วงพื้นบ้านของเม็กซิกัน (mariachi) วงแจ๊ซ วงโยธวาทิต วงดนตรีลูกทุ่ง จนถึงวงออเคสตรา และแตรวงขนาดใหญ่ หรือแม้แต่วงดนตรีป๊อป-ร็อคสมัยใหม่
ระดับเสียงของทรัมเป็ตมีช่วงเสียงประมาณ 2-3 ออกเตฟ ขึ้นอยู่กับความสามารถของผู้เล่น ตั้งแต่ F# ต่ำกว่า middle C จนถึง E สูงเหนือบรรทัด 5 เส้นหรือสูงกว่านั้น เสียงของทรัมเป็ตโดยธรรมชาติมีลักษณะดังกังวาน สดใส และเข้มแข็ง แต่ขณะเดียวกันก็สามารถใช้สร้างเสียงที่แสดงออกถึงอารมณ์หม่นเศร้าได้เช่นกัน
ที่นิยมใช้กันทั่วไปคือทรัมเป็ตในคีย์ Bb และคีย์ C อาจพบเห็นทรัมเป็ตที่มีขนาดและระดับเสียงแตกต่างกันได้อีกหลายชนิดตั้งแต่ "เบส-ทรัมเป็ต" จนถึง "พิคโคโลทรัมเป็ต" โดยเฉพาะในบทเพลงคลาสสิก
คอร์เนต (Cornet)
คอร์เนต (Cornet) ลักษณะคล้ายกับทรัมเป็ตแต่ลำตัวสั้นกว่า คุณภาพของเสียงมีความนุ่มนวล กลมกล่อม เสียงสดใสน้อยกว่าทรัมเป็ต คอร์เนตนำมาใช้ในวงออเคสตราเป็นครั้งแรกเมื่อประมาณ ค.ศ. 1829 ในการแสดงโอเปร่า ของ Rossini เรื่อง William Tell ในปัจจุบันคอร์เนตเป็นเครื่องดนตรีสำคัญสำหรับวงโยธวาทิต วงดนตรีลูกทุ่ง จนถึงวงออเคสตรา และแตรวง
บูเกิลหรือบิวเกิล (Bugle)
บูเกิลหรือบิวเกิล (Bugle) คือเครื่องดนตรีประเภทเครื่องลมทองเหลือง ไม่มีลูกสูบ เป่าโดยใช้กำพวด มีหลายขนาด ปกติจะนำไปใช้เป่าสัญญาณแตรแบบต่างๆ มักนิยมนำไปใช้ในกิจกรรมทางทหาร กิจกรรมลูกเสือ เป็นต้น
ฟลูเกิลฮอร์น (Flugelhorn)
ฟลูเกิลฮอร์น (Flugelhorn) เป็นเครื่องดนตรีประเภทเครื่องเป่าทองเหลืองเช่นเดียวกับทรัมเปต มีลักษณะคล้ายกับแตรบิวเกิลปกติจะมีลูกสูบอยู่ 3 ลูกสูบ ท่อลมกลวงเป็นรูปกรวย ปลายบานเป็นลำโพงรูปร่างค่อนข้างจะใหญ่กว่าคอร์เน็ต
ลักษณะของเสียง จะคล้ายกับฮอร์น แต่มีความห้าวมากกว่าฮอร์น สีสันของเสียงจะทุ้ม ลึก นุ่มนวล สร้างจุดสนใจสำหรับผู้ฟังได้มาก จึงเหมาะสำหรับนำไปใช้เป็นเครื่องดนตรีสำหรับบรรเลงเดี่ยว (Solo) ทำนองท่อนใดท่อนหนึ่ง
ทรอมโบน (Trombone)
ทรอมโบน (Trombone) เป็นเครื่องดนตรีสากลประเภทเครื่องเป่าทองเหลือง มีคันชักใช้สำหรับเปลี่ยนระดับเสียง โดยส่วนมากจะใช้ในวงโยธวาทิต วงดนตรีลูกทุ่ง รวมทั้งวงซิมโฟนีออร์เคสตรา และแตรวง ในวงดนตรี ทรอมโบนจะทำหน้าที่ประสานเสียงในกลุ่มแตรด้วยกัน
ทรอมโบน เป็นแตรซึ่งใช้มาตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 15 ในพิธีศาสนาและพิธียุรยาตราร่วมกับแตรโบราณ ทรอมโบนประกอบด้วยท่อลมสวมซ้อนเลื่อนเข้า – ออกได้ (Telescopic slide) ขนาดยาวโค้งได้สองทบ สองในสามของท่อลมนี้เป็นท่อทรงกระบอกเช่นเดียวกับ ทรัมเปตส่วนที่เหลือค่อย ๆ บานออกเป็นปากลำโพง ส่วนที่เป็นท่อลมทรงกระบอกจะเป็นท่อสองชั้นสวมกันไว้ในลักษณะรูปตัว U เลื่อนเข้าออกเพื่อปรับระดับเสียง เมื่อเลื่อนออกจะยาวประมาณ 9 ฟุต แต่เมื่อเลื่อนเข้า จะเหลือเพียง 3 ฟุตเศษ
ทรอมโบนเป็นเครื่องดนตรีประเภทท่อทรงกระบอก (Cylindrical Bore) กล่าวคือมีท่อลมที่ขนาดคงที่เกือบทั้งเครื่อง ทำให้มีเสียงที่แข็งและกระด้าง ไม่นิ่มนวลเหมือนฮอร์นหรือยูโฟเนียม แต่ในบางรุ่นอาจมีการขยายขาหนึ่งของ Slide ให้ใหญ่กว่าอีกขาหนึ่ง ทำให้เสมือนหนึ่งเป็นเครื่องดนตรีทรงกรวย (Conical Bore) และให้เสียงที่นุ่มขึ้น
บาริโทน (baritone horn)
บาริโทน (baritone horn) คือ เครื่องดนตรีประเภทเครื่องเป่าทองเหลืองประเภทเทเนอร์ที่มีวาล์ว 3 หรือ 4 วาล์ว ขนาดของเครื่องและท่อลมเล็กกว่ายูโฟเนียม แต่รูปทรงเหมือนกัน ลักษณะของเสียงมีความห้าวมากกว่ายูโฟเนียม
มาร์ชชิ่งบาริโทน(Marching Baritone) คือบาริโทนที่มีลักษณะการจับเหมือนกับทรัมเป็ต เหมาะที่จะนำมาใช้ในการบรรเลงเพลงเพื่อการเดิน การแปรขบวน เสียงจะพุ่งตรงไปยังผู้ฟัง
ยูโฟเนียม (euphonium)
ยูโฟเนียม (euphonium) คือ เครื่องดนตรีประเภทเครื่องเป่าทองเหลือง ลักษณะเสียงของยูโฟเนียมจะนุ่มนวล ทุ้มลึก และมีความหนักแน่นมาก สามารถเล่นในระดับเสียงต่ำได้ดี โดยมากจะใช้ในวงโยธวาทิต วงดนตรีลูกทุ่ง บางครั้งนำไปใช้ในวงออร์เคสตร้า และแตรวงแทนทูบา คำว่า ”ยูโฟเนียม” มาจากภาษากรีกหมายถึง ”เสียงจากนางฟ้า” ลักษณะทั่วไปของยูโฟเนียมเหมือนกับเครื่องเป่าทองเหลืองทั่วไป จะมีลูกสูบ 3 – 4 ลูกสูบมีกำพวดเป็นรูปถ้วย ท่อลมกลวงบานปลายเป็นลำโพงเสียง มีเครื่องดนตรีชนิดหนึ่งชื่อ “บาริโทน” มีเสียงใกล้เคียงกับยูโฟเนียม แต่ท่อลมมีขนาดเล็กกว่า เสียงของบาริโทนจะมีความห้าวมากกว่ายูโฟเนียม พบว่าบ่อยครั้งที่มีการเรียกชื่อสลับกันระหว่างยูโฟเนียมและบาริโทน
ทูบา (Tuba)
ทูบา (Tuba) เป็นเครื่องดนตรีตระกูล แซ็กฮอร์น ทูบามีท่อลมขนาดใหญ่ และมีความยาวตั้งแต่ 9 ,12,14,16 และ 18 ฟุต แล้วแต่ขนาด มีช่วงเสียง โดยมากจะใช้ใน วงโยธวาทิต จนถึง วงออเคสตรา และ แตรวง กว้าง 3 ออคเทฟ เศษ ๆ ท่อลมเป็นทรงกรวย เช่นเดียวกับ ฮอร์น ส่วนกลางลำตัวติดลูกสูบบังคับเสียง 3 อัน หรือ 4 อัน ส่วนตรงปลายท่อ บานเป็นลำโพงกำพวดเป็นโลหะรูปถ้วย เสียงของทูบาต่ำ ลึกนุ่มนวล ไม่แตกพร่า เสียงต่ำมากที่เรียกว่า "พีเดิล โทน" (pedal tones) นั้นมีคุณสมบัติเฉพาะตัวปกติแตรทูบาทำหน้าที่เป็นแนว เบส ให้แก่กลุ่ม เครื่องลมทองเหลือง
ทูบาทำมาจากทองเหลืองและเป็นเครื่องมือที่มีเสียงต่ำที่สุดในกลุ่มเครื่องลมทองเหลือง จึงทำหน้าที่เป็นเบสเพื่อให้แนวเบสมีเสียงแน่นขึ้น ผู้เล่นต้องใช้ลมมากเช่นเดียวกับฮอร์น ดังนั้น จึงควรมีช่วงให้หยุดพักหายใจบ้าง
ซูซาโฟน (Sousaphone)
ซูซาโฟน (Sousaphone) เป็นเครื่องดนตรีกลุ่มเครื่องลมทองเหลืองใช้ในวงโยธวาทิต ตั้งชื่อตามชื่อของจอห์น ฟิลิป ซูซา หัวหน้าวงดุริยางค์นาวิกโยธินสหรัฐอเมริกา ที่เป็นผู้ออกแบบและสั่งสร้างขึ้น
ซูซาโฟนมีลักษณะเป็นรูปวงแหวนขนาดใหญ่ เวลาบรรเลงนักดนตรีต้องคล้องไหล่ ปากลำโพง โดยมากจะใช้ในวงโยธวาทิต วงดนตรีลูกทุ่ง จนถึงวงออเคสตรา และแตรวง จะหันออกไปด้านหน้า ทำให้นักดนตรีสามารถเคลื่อนไหวหรือเดินแปรขบวนได้สะดวก โดยจอห์น ฟิลิป ซูซา เป็นผู้สั่งให้บริษัท ซี. จี. คอนน์ ผู้ผลิตเครื่องดนตรีเป็นผู้พัฒนาขึ้นในช่วงปี ค.ศ. 1889 โดยปรับปรุงมาจากทูบา และเฮลิคอน ซึ่งเป็นเครื่องดนตรีที่มีลักษณะคล้ายกัน แต่หันปากแตรไปด้านข้าง
แหล่งอ้างอิง
https://th.wikipedia.org/
walshimprov.ogg
https://pixabay.com/
https://www.youtube.com/@amyturkharp
https://www.youtube.com/@rittajp
https://musicentrance.com/
https://www.youtube.com/@OrchestraIndiana
https://www.youtube.com/@panappu8233
https://www.musicarms.net/
เครื่องลมไม้ (Woodwind Instruments)
เครื่องดนตรี ประเภทนี้ เกิดเสียงโดยการเป่าลมผ่านช่องแคบๆ ให้เข้าไปภายในท่อ ซึ่งทำหน้าที่เป็นตัวขยายเสียงให้ดังขึ้น คุณลักษณะของเสียงที่เกิดขึ้นจะแตกต่างกัน ตามขนาดของท่อ ความสั้นยาวของท่อ และความแรงของลมที่เป่าเข้าไปภายในท่อ
เครื่องดนตรี แต่ละชนิดยังมีขนาดต่างๆ กันออกไป เครื่องดนตรีขนาดเล็กจะให้ระดับเสียงสูง เครื่องดนตรีขนาดใหญ่จะให้เสียงต่ำ ผู้บรรเลงจะต้องเลือกใช้เครื่องดนตรีให้เหมาะสมกับบทเพลง ตามที่ผู้ประพันธ์เพลงได้กำหนดไว้ ประกอบไปด้วยเครื่องดนตรีดังต่อไปนี้
ประเภทเป่าลมผ่านช่องลม (ไม่มีลิ้น)
เป็นเครื่องดนตรีที่กำเนิดเสียงจากการเป่าลมผ่านช่องลม หรือเป่าลมตัดขอบท่อโดยตรง ทำให้เกิดการสั่นสะเทือนของลำอากาศภายในเครื่องดนตรี
ถึงแม้ว่าเครื่องดนตรีเหล่านี้จะไม่ได้ใช้ลิ้น แต่ก็ยังจัดอยู่ในกลุ่มเครื่องเป่าลมไม้ (Woodwind Instruments) เนื่องจากหลักการกำเนิดเสียงยังคงเกี่ยวข้องกับการสั่นสะเทือนของลำอากาศภายในท่อที่มีรูเปิด-ปิดเพื่อเปลี่ยนระดับเสียง คล้ายคลึงกับเครื่องเป่าลมไม้ที่มีลิ้นนั่นเอง
รีคอร์เดอร์ (Recorder)
รีคอร์เดอร์ (Recorder) เป็นเครื่องดนตรีที่ผู้เล่นเป่าลมเข้าไปตรงๆ ผ่านช่องลมที่ออกแบบมาคล้ายปากนกหวีด ทำให้ลมพุ่งไปตัดขอบของช่องลมอีกฝั่งหนึ่ง ตัวเครื่องมักทำจากไม้หรือพลาสติก มีหลายขนาดและระดับเสียง ตั้งแต่ Sopranino, Soprano, Alto, Tenor และ Bass
ปิคโคโล (Piccolo)
ปิคโคโล (Piccolo) เป็นฟลูทขนาดเล็กกว่ามาก ทำให้เสียงที่ได้มีความสูงและแหลมคมกว่าฟลูททั่วไป มักใช้เพื่อเพิ่มความสดใสและความสว่างให้กับเสียงในวงออร์เคสตราหรือวงโยธวาทิต
ฟลูท (Flute)
ฟลูท (Flute) เป็นเครื่องดนตรีที่มีลักษณะเป็นท่อกลวง ผู้เล่นจะเป่าลมขวางช่องลมที่เจาะอยู่ด้านข้างของท่อ ทำให้ลมไปตัดขอบท่อและเกิดเสียงขึ้น เดิมทำจากไม้ แต่ปัจจุบันส่วนใหญ่ทำจากโลหะ เช่น เงิน นิกเกิล หรือทองคำขาว
ประเภทเป่าลมผ่านลิ้น
เป็นเครื่องดนตรีที่กำเนิดเสียงจากการสั่นสะเทือนของลิ้น (reed) เมื่อผู้เล่นเป่าลมผ่าน ลิ้นเหล่านี้มักทำมาจากไม้ เช่น ไม้ Arundo donax (ไม้ซาง) หรือวัสดุสังเคราะห์
เครื่องดนตรีประเภทนี้สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทย่อยตามลักษณะของลิ้นที่ใช้ คือ เครื่องเป่าลมไม้ลิ้นเดี่ยว (Single-Reed Instruments) และเครื่องเป่าลมไม้ลิ้นคู่ (Double-Reed Instruments) ดังนี้
1. เครื่องเป่าลมไม้ลิ้นเดี่ยว (Single-Reed Instruments)
เป็นเครื่องดนตรีที่มีลิ้นเพียงแผ่นเดียวประกบกับปากเป่า เมื่อเป่าลมผ่าน ลิ้นจะสั่นสะเทือนทำให้เกิดเสียง
ตัวอย่างเช่น
คลาริเน็ท (Clarinet)
คลาริเน็ต (Clarinet) เป็นเครื่องดนตรีที่มักทำจากไม้หรือพลาสติก มีช่วงเสียงกว้างและมีความหลากหลายในการใช้งาน
แซกโซโฟน (Saxophone)
แซกโซโฟน (Saxophone) มีปากเป่าทำจากไม้แต่ตัวเครื่องมักทำจากทองเหลือง มีหลายขนาด เช่น โซปราโน อัลโต เทเนอร์ และบาริโทน
2. เครื่องเป่าลมไม้ลิ้นคู่ (Double-Reed Instruments)
เป็นเครื่องดนตรีที่มีลิ้นสองแผ่นประกบกัน เมื่อเป่าลมผ่าน ลิ้นทั้งสองจะสั่นสะเทือนกระทบกันทำให้เกิดเสียง ตัวอย่างเช่น:
โอโบ (Oboe)
โอโบ (Oboe) เป็นเครื่องดนตรีเสียงสูงในกลุ่มเครื่องลมไม้ มีเสียงที่ไพเราะและเป็นเครื่องดนตรีหลักในวงออร์เคสตรา มักใช้ในการเทียบเสียงของวง
อิงลิชฮอร์น (English Horn)
อิงลิชฮอร์น (English Horn): เป็นเครื่องดนตรีสากล ประเภทเครื่องเป่าลมไม้ เป็นปี่ประเภทลิ้นคู่ อยู่ในตระกูลเดียวกับโอโบแต่มีขนาดใหญ่กว่า และมีรูปร่างที่แตกต่างไปจากโอโบ ระดับเสียงต่ำกว่าโอโบและเวลาเล่นจะต้องมีสายติดกับลำตัวปี่โยงไปคล้องคอผู้เล่นเพื่อพยุงน้ำหนักของปี่ ปี่ชนิดนี้มีลำตัวยาวกว่าปี่โอโบ
บาสซูน (Bassoon)
บาสซูน (Bassoon) เป็นเครื่องดนตรีประเภทเป่าลมผ่านลิ้นเช่นเดียวกับโอโบ เป็นปี่ขนาดใหญ่ใช้ลิ้นคู่ (double reed) รูปร่างของบาสซูน ค่อนข้างจะประหลาดกว่าปี่ชนิดอื่น ๆ เนื่องจากความใหญ่โตของท่อลม ซึ่งมีความยาวถึง 109 นิ้ว แต่เพื่อไม่ให้ยาวเกะกะ จึงใช้วิธีทบท่อลิ่มให้เหลือความยาวประมาณ 4 ฟุตเศษ บาสซูนมีน้ำหนักมากจึงต้องมีสายคล้องคอช่วยพยุงน้ำหนัก (sling) เพื่อให้มือทั้งสองของผู้เล่นขยับไปกดแป้นต่าง ๆ ได้สะดวก บาสซูนได้รับฉายาว่าเป็น "ตัวตลกของวงดุริยางค์" (The Clown of the Orchestra) ทั้งนี้เพราะเวลาบรรเลงเสียงสั้น ๆ ห้วน ๆ (staccato) อย่างเร็ว ๆ จะมีเสียงดัง ปูด…ปู๊ด… คล้ายลักษณะท่าทางของตัวตลก ที่มีอากัปกิริยากระโดดเต้นหยอง ๆ ในโรงละครสัตว์ เสียงของบาสซูนต่ำนุ่มลึก ถือเป็นแนวเบสของกลุ่มเครื่องลมไม้ นอกนั้นยังสามารถเล่นทำนองเดียวได้อย่างงดงามอีกด้วย
คอนทราบาสซูน (Contrabassoon)
คอนทราบาสซูน (Contrabassoon) หรือ ดับเบิลบาสซูน ประดิษฐ์ขึ้นครั้งแรกโดยชาวอังกฤษสองคน ชื่อ สโตน และ มอร์ตัน (Stone & Morton) ต่อมา เฮคเคล (Heckel) ได้ปรับปรุงโดยติดกลไกของแป้นนิ้วต่าง ๆ ให้สมบูรณ์และนำมาใช้จนถึงทุกวันนี้ คอนทราบาสซูนเป็นปี่ที่ใหญ่กว่าบาสซูน ประมาณเท่าตัวคือมีความยาวของท่อลมทั้งหมดถึง 18 ฟุต 4 นิ้ว หรือ 220 นิ้วพับเป็นสี่ท่อน แต่ละท่อนเชื่อมต่อด้วย Butt และข้อต่อรูปตัว U ที่ปลายท่อนสุดท้ายจะต่อกับลำโพงโลหะที่คว่ำลงในแนวดิ่ง แต่คอนทราบาสซูนอีกชนิดหนึ่งลำโพงหงายขึ้นในแนวดิ่ง ให้เสียงต่ำกว่าบาสซูน ลงไปอีก 1 ออคเทฟ เสียงจะนุ่มไม่แข็งกร้าวเหมือนบาสซูน แต่ถ้าบรรเลงเสียงต่ำอย่างช้า ๆ ในวงออร์เคสตรา ขณะที่เครื่องดนตรีอื่น ๆ เล่นอย่างเบา ๆ จะสร้างภาพพจน์คล้ายมีงูใหญ่เลื้อยออกมาจากที่มือโอกาสที่ใช้ไม่สู้มากนัก
แหล่งอ้างอิง
https://th.wikipedia.org/
walshimprov.ogg
https://pixabay.com/
https://www.youtube.com/@amyturkharp
https://www.youtube.com/@rittajp
https://musicentrance.com/
เครื่องดนตรีประเภทเครื่องสาย สายของเครื่องดนตรีประเภทนี้มีทั้งสายที่ทำมาจากเส้นลวด เส้นเอ็น เส้นไหม ไนล่อน หรือโลหะอย่างใดอย่างหนึ่ง นำมาขึงให้ตึง ความดังของเสียงขึ้นอยู่กับรูปร่าง และวัสดุที่นำมาใช้ทำกะโหลกเครื่องดนตรี กะโหลกเครื่องดนตรีทำหน้าที่เป็นตัวขยายเสียงที่เกิดจากการสั่นสะเทือนของ สาย เครื่องดนตรีประเภทเครื่องสายที่นำมาใช้ในการประสมวงดนตรีมีดังนี้
ประเภทเครื่องสี
ไวโอลิน (Violin)
ไวโอลินเป็นเครื่องดนตรีประเภทเครื่องสายที่เก่าแก่ที่สุดชิ้นหนึ่งของโลก มีต้นกำเนิดมาตั้งแต่ปี 1600 โดยถูกประดิษฐ์ขึ้นในประเทศอิตาลี ไวโอลินมีบทบาทสำคัญในดนตรีคลาสสิกและยังคงได้รับความนิยมในปัจจุบัน
วิโอล่า (Viola)
วิโอล่า (Viola) เป็นเครื่องดนตรีประเภทเครื่องสายในตระกูลไวโอลิน มีลักษณะคล้ายกับไวโอลิน แต่มีขนาดที่ใหญ่กว่า และให้เสียงที่ต่ำและทุ้มกว่า โดยทำหน้าที่เป็นเสียงกลางหรือเสียงอัลโต้ในวงออร์เคสตรา
ความแตกต่างจากไวโอลิน
ขนาด : วิโอล่ามีขนาดใหญ่กว่าไวโอลิน ทำให้เสียงที่ออกมามีความทุ้มกว่าและมีเนื้อเสียงที่อิ่มกว่า
ช่วงเสียง : วิโอล่าจะให้เสียงที่ต่ำกว่าไวโอลิน โดยปกติแล้วจะตั้งสายเป็น C-G-D-A ซึ่งต่ำกว่าไวโอลินที่ตั้งสายเป็น G-D-A-E
บทบาทในดนตรี : วิโอล่ามักจะใช้เล่นในส่วนของไลน์ประสาน หรือเสียงกลางของบทเพลงมากกว่าที่จะเล่นทำนองหลักเหมือนไวโอลิน เสียงของวิโอล่าจะมีความนุ่มลึกและอบอุ่น
เชลโล (Cello)
เชลโล (Cello) หรือชื่อเต็มว่า วิโอลอนเชลโล (Violoncello) เป็นเครื่องดนตรีประเภทเครื่องสายในตระกูลไวโอลิน มีลักษณะคล้ายไวโอลินและวิโอล่า แต่มีขนาดที่ใหญ่กว่ามาก ทำให้ให้เสียงที่ต่ำและทุ้มลึก โดยเฉพาะเสียงของสาย 3 และสาย 4 ที่สามารถบรรเลงเพลงเศร้าได้ดี
ลักษณะและวิธีการเล่น
ขนาด : เชลโลมีขนาดใหญ่กว่าไวโอลินและวิโอล่าประมาณ 3 เท่า
การบรรเลง : เวลาเล่น ผู้เล่นจะต้องนั่งเก้าอี้และวางเชลโลไว้ระหว่างขา โดยมีเหล็กแหลมที่เรียกว่า "เอนด์พิน (Endpin)" ค้ำยันตัวเครื่องกับพื้น เพื่อให้เชลโลตั้งตรงมั่นคง
เสียง : เชลโลให้เสียงที่ก้องกังวานและมีอารมณ์หลากหลาย สามารถใช้บรรเลงได้ทั้งในวงออร์เคสตราและเป็นเครื่องดนตรีเดี่ยว
เชลโลมีพัฒนาการของรูปทรงมาหลากหลายกว่าจะเป็นดังเช่นที่เห็นในปัจจุบัน และใช้เวลานานกว่าจะเป็นที่ยอมรับในฐานะเครื่องดนตรีสำหรับการแสดงเดี่ยว โดยอันโตนิโอ สตราดิวารี (Antonio Stradivari) ช่างทำไวโอลินชื่อดัง ได้กำหนดขนาดมาตรฐานของเชลโลสมัยใหม่ขึ้นในช่วงต้นศตวรรษที่ 18
เชลโลเป็นเครื่องดนตรีที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในดนตรีคลาสสิก และยังคงเป็นส่วนสำคัญในการสร้างความสมบูรณ์และมิติให้กับเสียงของวงดนตรี
ดับเบิ้ลเบส (Double Bass)
ดับเบิลเบส (Double Bass) หรือชื่อเต็มว่า คอนทราเบส (Contrabass) เป็นเครื่องดนตรีประเภทเครื่องสายที่มีขนาดใหญ่ที่สุดและให้เสียงต่ำที่สุดในตระกูลไวโอลิน
ลักษณะและวิธีการเล่น
ขนาด : ดับเบิลเบสมีขนาดใหญ่ที่สุดในบรรดาเครื่องสายในวงออร์เคสตรา ทำให้ผู้เล่นต้องยืนเล่น หรือนั่งบนเก้าอี้สูงเป็นพิเศษ
เสียง : ให้เสียงที่ทุ้มลึกและกังวานมากที่สุดในกลุ่มเครื่องสาย ทำให้เป็นรากฐานของเสียงในวงออร์เคสตราและดนตรีประเภทอื่น ๆ
การบรรเลง : ผู้เล่นสามารถบรรเลงได้สองวิธีหลัก ๆ คือ:
ใช้คันชัก (Bowing): เหมือนกับไวโอลิน วิโอล่า และเชลโล เพื่อสร้างเสียงที่ยืดและต่อเนื่อง
ดีดสาย (Pizzicato): ใช้นิ้วดีดสายเพื่อให้เกิดเสียงสั้น ๆ กระชับ ซึ่งเป็นที่นิยมมากในดนตรีแจ๊สและบลูส์
บทบาทในดนตรี
ดับเบิลเบสเป็นเครื่องดนตรีที่มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการสร้างรากฐานทางเสียงและความกลมกลืนในวงดนตรีหลายประเภท:
วงออร์เคสตรา : ทำหน้าที่เป็นเสียงเบสพื้นฐาน ให้ความรู้สึกมั่นคงและหนักแน่น
ดนตรีแจ๊ส : เป็นส่วนสำคัญของริธึมเซกชัน มักใช้เทคนิคการดีดสายเป็นหลัก
วงดนตรีประเภทอื่น ๆ : รวมถึงบลูส์, ร็อกอะบิลลี, โฟล์ก และดนตรีแนวอื่น ๆ ที่ต้องการเสียงเบสธรรมชาติและมีพลัง
การพัฒนา
ดับเบิลเบสมีวิวัฒนาการมาจากเครื่องดนตรีตระกูล Viola da Gamba ซึ่งเป็นเครื่องสายในยุคก่อนหน้า และได้ถูกปรับปรุงพัฒนาให้มีขนาดและเสียงที่เหมาะสมกับการใช้งานในปัจจุบัน
สรุปแล้ว ดับเบิลเบสเป็นหัวใจสำคัญของเสียงต่ำในวงดนตรีหลายประเภท ด้วยขนาดที่ใหญ่และเสียงที่ทุ้มลึกอันเป็นเอกลักษณ์
ประเภทเครื่องดีด
ฮาร์ป (Harp)
ฮาร์ป (Harp) เป็นเครื่องดนตรีประเภทเครื่องสายที่โดดเด่นด้วยรูปลักษณ์อันสง่างามและเสียงที่ไพเราะ มีสายจำนวนมากขึงอยู่บนโครงสามเหลี่ยมหรือโครงโค้งขนาดใหญ่ และมีกลไกพิเศษที่ช่วยให้สามารถเปลี่ยนระดับเสียงของสายได้
ลักษณะเด่นของฮาร์ป
โครงสร้าง : โดยทั่วไปมีลักษณะเป็นโครงสามเหลี่ยมขนาดใหญ่ หรือเป็นโครงโค้ง มีสายจำนวนมากขึงจากคอ (Neck) ลงมายังกล่องเสียง (Soundboard)
จำนวนสาย : ฮาร์ปมีจำนวนสายแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับชนิดและขนาด แต่โดยทั่วไปมีประมาณ 40-47 สาย
การกำเนิดเสียง : ผู้เล่นใช้นิ้วมือดีดสายให้สั่นสะเทือนเพื่อสร้างเสียง
กลไกการเปลี่ยนเสียง: ฮาร์ปคอนเสิร์ต (Pedal Harp) มีกลไกคันเหยียบ (Pedals) ที่เท้า ซึ่งเชื่อมต่อกับก้านเล็กๆ ภายในคอฮาร์ป คันเหยียบแต่ละอันจะควบคุมสายกลุ่มหนึ่ง และสามารถปรับระดับเสียงของสายนั้นๆ ได้ 3 ระดับ (แฟลต, เนเชอรัล, ชาร์ป) ทำให้สามารถเล่นได้ในทุกคีย์
ประเภทของฮาร์ป
ฮาร์ปคอนเสิร์ต (Concert Harp หรือ Pedal Harp): เป็นฮาร์ปขนาดใหญ่ที่สุด มีคันเหยียบที่เท้าเพื่อเปลี่ยนระดับเสียงของสาย เป็นฮาร์ปที่ใช้ในวงออร์เคสตราและในการแสดงเดี่ยว
ฮาร์ปแบบคันโยก (Lever Harp หรือ Folk Harp): เป็นฮาร์ปขนาดเล็กกว่า ไม่มีคันเหยียบ แต่มีคันโยกเล็กๆ อยู่ที่คอฮาร์ปใกล้กับสายแต่ละเส้น ผู้เล่นต้องใช้มือในการปรับคันโยกเพื่อเปลี่ยนระดับเสียงของสายนั้นๆ มักใช้ในดนตรีโฟล์กหรือการแสดงที่ไม่ต้องการการเปลี่ยนคีย์บ่อยนัก
ฮาร์ปแบบไลร์ (Lyre Harp): เป็นฮาร์ปที่มีขนาดเล็กที่สุดและมีรูปแบบโบราณ มีโครงสร้างเรียบง่าย มักใช้เป็นเครื่องดนตรีประกอบการขับร้องในอดีต
บทบาทในดนตรี
ฮาร์ปเป็นเครื่องดนตรีที่ให้เสียงที่นุ่มนวล ชวนฝัน และมีมิติ สามารถสร้างบรรยากาศที่หลากหลายในบทเพลง ตั้งแต่ความสง่างาม ความลึกลับ ไปจนถึงความสดใส มักถูกใช้ในวงออร์เคสตรา เพื่อเพิ่มสีสันและเสียงประสานที่งดงาม และยังเป็นที่นิยมในการบรรเลงเดี่ยวอีกด้วย
ฮาร์ปเป็นเครื่องดนตรีที่ต้องใช้ทักษะและความประณีตในการเล่นสูง เนื่องจากมีจำนวนสายมากและต้องใช้การประสานงานระหว่างมือและเท้า (สำหรับฮาร์ปคอนเสิร์ต) เพื่อสร้างสรรค์บทเพลงออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบ
ไลร์ (Lyre)
ไลร์ (Lyre) เป็นเครื่องดนตรีประเภทเครื่องสายโบราณ จัดอยู่ในกลุ่มเครื่องดนตรีประเภทพิณ (Harp) ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน และมีความสำคัญอย่างยิ่งในอารยธรรมกรีกโบราณ รวมถึงอารยธรรมอียิปต์โบราณ
ลักษณะของไลร์:
โครงสร้าง : โดยทั่วไป ไลร์จะมีโครงสร้างที่ประกอบด้วยแขนสองข้างที่ยื่นขึ้นไปจากกล่องเสียง และมีคาน (yoke หรือ crossbar) พาดเชื่อมแขนทั้งสองไว้ด้านบน สายของไลร์จะถูกขึงจากคานลงมายังกล่องเสียง
การกำเนิดเสียง : ผู้เล่นจะใช้นิ้วดีดสายเพื่อให้เกิดเสียง คล้ายกับการเล่นฮาร์ปหรือกีตาร์
จำนวนสาย: จำนวนสายของไลร์มีความหลากหลายขึ้นอยู่กับยุคสมัยและวัฒนธรรม ตั้งแต่ไม่กี่สายไปจนถึงหลายสิบสาย
วัสดุ : ไลร์ในยุคโบราณมักทำจากไม้ โดยมีกล่องเสียงที่อาจทำจากกระดองเต่าหรือวัสดุธรรมชาติอื่นๆ
ประวัติและบทบาท:
ไลร์มีความเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับเทพปกรณัมกรีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเทพอะพอลโล (Apollo) ซึ่งเป็นเทพแห่งดนตรีและบทกวี และยังเป็นสัญลักษณ์ของดนตรีตะวันตกมาตั้งแต่ยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา
ในกรีกโบราณ ไลร์เป็นเครื่องดนตรีที่สำคัญในการประกอบการขับร้องบทกวี การเล่านิทาน และการแสดงละคร มักใช้ในการบรรเลงเดี่ยวหรือคลอไปกับการขับร้องเพลง (ซึ่งเป็นที่มาของคำว่า "lyric" หรือ "บทกวี" ในภาษาอังกฤษ)
ในอียิปต์โบราณ มีหลักฐานภาพวาดและโบราณวัตถุที่แสดงให้เห็นถึงการใช้ไลร์ในพิธีกรรมทางศาสนาและงานเฉลิมฉลอง
ไลร์ในปัจจุบัน แม้ว่าไลร์โบราณจะไม่ได้ถูกใช้อย่างแพร่หลายในดนตรีคลาสสิกสมัยใหม่เหมือนฮาร์ป แต่ก็ยังคงมีการผลิตไลร์ขึ้นมาใหม่ในรูปแบบต่างๆ รวมถึง Lyre Harp ซึ่งเป็นไลร์ที่ได้รับการออกแบบให้เล่นง่ายขึ้น และได้รับความนิยมในกลุ่มผู้ที่สนใจเครื่องดนตรีโบราณหรือดนตรีบำบัด
ไลร์จึงเป็นเครื่องดนตรีที่สะท้อนถึงรากเหง้าของดนตรีและศิลปะในอารยธรรมโบราณ และยังคงเป็นสัญลักษณ์ของความไพเราะและบทกวีมาจนถึงปัจจุบัน
กีตาร์
แมนโดลิน (Mandolin)
แมนโดลิน (Mandolin) เป็นเครื่องดนตรีประเภทเครื่องสายที่อยู่ในตระกูลลูท (Lute) มีลักษณะเด่นคือลำตัวส่วนหลังจะป่องโค้งคล้ายลูกแพร์ และมีสายคู่ (Double courses) ซึ่งหมายความว่ามีสายสองเส้นที่ตั้งเสียงเดียวกันเรียงกันไป โดยทั่วไปแล้วจะมี 4 คู่สาย (รวมเป็น 8 สาย) หรือบางครั้งก็มี 5 คู่สาย (10 สาย) หรือ 6 คู่สาย (12 สาย)
ลักษณะและเสียง:
ลำตัว: ส่วนหลังของลำตัวแมนโดลินจะโค้งกลมและป่องออกมา คล้ายกับเปลือกหอย หรือลูกแพร์ ทำให้เกิดเสียงสะท้อนที่เป็นเอกลักษณ์
สาย: โดยทั่วไปมี 4 คู่สาย (8 สาย) โดยแต่ละคู่จะตั้งเสียงเดียวกัน (เช่น G-G, D-D, A-A, E-E) การมีสายคู่ทำให้ได้เสียงที่กังวานและมีมิติมากขึ้นเมื่อดีด
การเล่น: ผู้เล่นจะใช้ปิ๊ก (pick) หรือเพล็กทรัม (plectrum) ในการดีดสาย การเล่นแมนโดลินมักใช้เทคนิคที่เรียกว่า "เทรโมโล" (tremolo) คือการดีดสายขึ้นลงอย่างรวดเร็วต่อเนื่อง เพื่อสร้างเสียงที่ยืดและกังวานเนื่องจากเสียงของแมนโดลินจะสั้น
เสียง: ให้เสียงที่ใส สว่าง และกังวาน คล้ายคลึงกับเสียงของไวโอลินแต่มีลักษณะเฉพาะตัว
ประวัติ:
แมนโดลินมีต้นกำเนิดจากเครื่องดนตรีตระกูลลูทในยุคกลางและยุคเรอเนซองส์ในอิตาลี มีการพัฒนาและเปลี่ยนแปลงรูปทรงมาหลายศตวรรษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเมืองเนเปิลส์ (Naples) ซึ่งเป็นแหล่งผลิตแมนโดลินที่มีชื่อเสียงที่สุด
การใช้งานในดนตรี:
แมนโดลินถูกนำไปใช้ในดนตรีหลากหลายแนว:
ดนตรีคลาสสิก: มีบทบาทในวงออร์เคสตราและดนตรีเชมเบอร์บางชิ้น
ดนตรีโฟล์ก: เป็นเครื่องดนตรีหลักในดนตรีโฟล์กของอิตาลี (เช่น Tarantella) และดนตรีพื้นบ้านของยุโรปหลายประเทศ
บลูแกรส (Bluegrass): เป็นเครื่องดนตรีสำคัญในดนตรีบลูแกรสของอเมริกา โดยมีเทคนิคการเล่นที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว
ดนตรีป๊อปและร็อก: บางครั้งก็ถูกนำมาใช้เพื่อเพิ่มสีสันให้กับบทเพลง
แมนโดลินเป็นเครื่องดนตรีที่มีเสน่ห์เฉพาะตัว ทั้งรูปลักษณ์ เสียง และวิธีการเล่นที่หลากหลาย ทำให้เป็นที่ชื่นชอบของนักดนตรีและผู้ฟังทั่วโลก
แบนโจ (Banjo)
แบนโจ (Banjo) เป็นเครื่องดนตรีประเภทเครื่องสายที่มีเอกลักษณ์โดดเด่น ด้วยเสียงที่กังวาน ใส และมีจังหวะที่ชัดเจน มักเกี่ยวข้องกับดนตรีพื้นบ้านอเมริกัน เช่น บลูแกรส (Bluegrass), โฟล์ก (Folk), และคันทรี (Country)
ลักษณะเฉพาะของแบนโจ
โครงสร้าง: แบนโจมีลักษณะคล้ายกลองที่ติดคอยื่นออกมา ลำตัวกลมและแบนคล้ายกลอง โดยมีหนังหรือวัสดุสังเคราะห์ขึงอยู่ด้านหน้า ทำหน้าที่เป็นเรโซเนเตอร์ (resonator) ที่ช่วยขยายเสียงให้ดังและกังวาน
สาย: แบนโจส่วนใหญ่มี 4, 5 หรือ 6 สาย แต่ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือ แบนโจ 5 สาย โดยมีสายที่สั้นกว่าปกติหนึ่งเส้น (เรียกว่า Drone string) ที่มักจะตั้งเสียงค้างไว้ ซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของแบนโจ 5 สาย
การเล่น: ผู้เล่นจะใช้นิ้วหรือปิ๊กในการดีดหรือเกาสาย เทคนิคการเล่นแบนโจมีหลากหลาย เช่น "Scruggs style" ที่เป็นการเล่นฟิงเกอร์พิกกิ้ง (fingerpicking) แบบเร็วและซับซ้อน หรือ "Clawhammer style" ที่เป็นการตีสายลงด้วยหลังเล็บ
ประวัติของแบนโจ
แบนโจมีต้นกำเนิดมาจากเครื่องดนตรีของชาวแอฟริกันที่ถูกนำเข้ามาในอเมริกาโดยทาสในศตวรรษที่ 17 ต่อมาได้พัฒนาและเป็นที่นิยมในหมู่นักดนตรีมินสเตรล (Minstrel) ในช่วงศตวรรษที่ 19 และกลายเป็นส่วนสำคัญของดนตรีพื้นบ้านอเมริกัน
ประเภทของแบนโจ
แบนโจ 5 สาย (5-string Banjo): เป็นที่นิยมมากที่สุด มักใช้ในดนตรีบลูแกรสและโฟล์ก
แบนโจ 4 สาย (4-string Banjo): มีสองประเภทหลักคือ:
เทเนอร์แบนโจ (Tenor Banjo): มักใช้ในดนตรีแจ๊สแบบดั้งเดิม (Dixieland Jazz) และดนตรีไอริช
เพล็กทรัมแบนโจ (Plectrum Banjo): คล้ายกับเทเนอร์แบนโจแต่มีคอที่ยาวกว่าเล็กน้อย
แบนโจ 6 สาย (6-string Banjo หรือ Guitar Banjo): มีการตั้งสายแบบเดียวกับกีตาร์ ทำให้กีตาร์ริสต์สามารถเล่นแบนโจได้ง่ายขึ้น
แบนโจเป็นเครื่องดนตรีที่ให้ความรู้สึกสนุกสนาน มีชีวิตชีวา และมีความเป็นอเมริกันชนอย่างลึกซึ้งในเสียงและบทบาทของมัน
แแหล่งอ้างอิง
https://th.wikipedia.org/
walshimprov.ogg
https://pixabay.com/
https://www.youtube.com/@amyturkharp
https://www.youtube.com/@rittajp
https://musicentrance.com/
https://www.youtube.com/@OrchestraIndiana
https://www.youtube.com/@panappu8233
https://www.musicarms.net/
https://www.youtube.com/@OrchestraIndiana